วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

#RACE2016 Pattaya Triathlon 2016 (Standard Distance++)



         ผ่านการว่ายน้ำทางไกล(5)-จักรยานทางไกล(200)-วิ่งทางไกล(42) ครบตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ในใจ ก็ได้เวลามองหางานไตรกีฬาระยะ Standard ลงเสียที อยากเลือกงานที่ได้มาตรฐานเพื่อประเดิม จะได้เรียนรู้ระบบการแข่ง การเตรียมตัว และการจัดการในงาน เผื่อเวลาสำหรับซ้อมประมาณ 3 เดือนก็มาตรงกับงานพัทยาไตรกีฬาพอดี ซึ่งออแกไนซ์เจ้านี้จัดงานวิ่ง-ไตรมาได้รับผลตอบรับเรื่องมาตรฐานดีพอดู ถึงเวลาเปิดรับมีหน้าที่แค่กดให้ทันก่อนเต็ม(เร็วมาก) และข่าวดีคือได้ประเดิมงานแรกด้วยระยะแถม คือปั่น 40>53 กม. และวิ่ง 10>13 กม. เกินจากปกติ อ่ะ..คุ้มล่ะมั้งมีของแถม  ไปเตรียมตัวได้

การเตรียมตัว 

          การซ้อมก็ไม่มีไรมาก หาตารางจากเนตมาปรับให้เข้ากับตัวเรา แล้วก็บวกระยะเพิ่มไปหน่อยให้เข้ากับระยะแถม ซึ่งก็ไม่ได้ซ้อมหนักกว่าวิ่งฟลูมาราธอน แต่จำนวนครั้งถี่กว่าเนื่องจากต้องซ้อม 3 ชนิดกีฬา ปัญหาจะอยู่ที่การฟื้นตัวในแต่ละวัน แต่น่าเบื่อน้อยลงจากการได้สลับกีฬา ก็พอผ่านได้ตามโปรแกรม 

          ต่อมาที่ไม่ได้จำเป็นเหมือนการซ้อมแต่ก็เห็นหลายๆคนเตรียมกัน คือการงอกอุปกรณ์ -..- คราวนี้ก็งอกแรงหน่อยได้ของใหญ่เป็นจักรยานไตรกีฬาตัว entry level (งบได้แค่นี้) กับอุปกรณ์ติดรถเท่าที่จำเป็นนิดหน่อย หวังว่าจะได้ใช้ได้คุ้มในเร็ววัน

QR Kilo รถเดิมๆ ไม่มีอัพอุปกรณ์ใดๆ 
 
          ช่วงระหว่างซ้อมและก่อนวันงานมีเรื่องที่ค่อยดีเกิดขึ้นในชีวิตพอสมควร ถึงขนาดคิดว่าคงไม่ได้ไปร่วมงานแล้ว แต่คุณภรรยาผู้ซึ่งอยู่ในเวลาที่ยากลำบากกลับเป็นคนสนับสนุนให้ไปทำตามความตั้งใจให้สำเร็จ บอกตัวเองเลยว่าถ้าจะมาทางสายนี้การสนับสนุนและความเข้าใจจากคนใกล้ตัวสำคัญมาก เพราะฉะนั้นก็ควรจะต้องเป็นฝ่ายเห็นความสำคัญของพวกเขาให้มากด้วยเช่นกัน

          ตัดมาวันลงทะเบียนรับ BIB ก่อนวันงาน ซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมดุสิตพัทยา นั่นแหละครับ วงเวียนที่รถติดๆน่ะแหละ ติดเข้าไปใหญ่ สถานที่กว้างขวางและดูดี Expo มีร้านมาออกเพียบเลยได้เสียเงินเพิ่มอีกนี๊ด การลงทะเบียนก็จัดการดีพอประมาณ อาจจะใช้เวลาหน่อยถ้าเทียบกับงานวิ่งเพราะของเยอะกว่า จะเสียหายนิดหน่อยก็ตรงสะกดชื่อผิดหลายคน ทั้งๆที่ข้อมูลพวกนี้ควรลิ้งกับข้อมูลที่เรากรอกสมัคร บางคนหาชื่อตัวเองไม่เจอ ส่วนผมก็ได้รับชื่อที่สะกดแบบงงๆเหมือนเอาชื่อไทยเรามาแปลงเป็นอังกฤษตามความน่าจะเป็นเอง ทั้งที่ก็กรอกของตัวเองไปตามพาสปอร์ตหรือเอกสารราชการแล้ว แต่ก็เอาน่ะรับเบอร์ได้เข้าแข่งได้ไม่มีปัญหา 

ส่วนหนึ่งของ Expo

          แว๊บออกจากงานมาไปเดินดูชายหาดตรงจุดปล่อยตัว ตามที่ตั้งใจไว้คืออยากมาลองว่ายน้ำดูก่อน เพราะห่วงเรื่องการเล็งทุ่นในน้ำตอนว่าย เนื่องจากเส้นทางว่ายเลี้ยวไปมามีรอบใน-รอบนอกอีกต่างหาก คงเพราะไม่อยากให้ยื่นไปในทะเลเยอะไป ลังเลอยู่ว่าจะลงดีไหมเพราะไม่มีคนเฝ้าของ แต่ก็ไม่ได้พกไรไปมาก เอาของไปวางไว้ใกล้ๆคณะที่อยู่กันเยอะๆ ถอดชุดแล้วก็ลงเลย วนไป 1 รอบ 750 ม.แล้วรู้สึกว่าคิดถูกที่มาลองก่อนเพราะเวลาว่ายจริงงงเรื่องทุ่นพอควรเนื่องจากมันซ้อนกันเพราะเส้นทางทบไปมา 

           ขึ้นมาจากน้ำก็เดินริมหายไปเนียนๆรอตัวแห้ง ใส่ชุดแล้วก็เดินกับไปที่ห้องลงทะเบียนรอจนเวลาบรีฟอธิบายกฏกติกาและเส้นทางการแข่งตามธรรมเนียม หลังจากได้เข้าฟังบรีฟไตรเป็นครั้งแรกแล้วก็สรุปได้ว่าถ้าอ่านศึกษากฎกติกาและเส้นทางมาจากเวปไซต์งานดีแล้ว ข้ามๆไปบ้างก็ได้ เหมือนเป๊ะเลย 555 (แต่ถ้าไม่เตรียมตัวมาเลยก็ควรต้องมาฟังให้รู้ไว้นะ)

ณ ขณะบรีฟ

           ออกจากบรีฟมาเย็นมากแล้ว รีบเดินไปเอาจักรยานที่รถไปฝากไว้ที่จุดทรานซิชัน ซึ่งระยะทางไปทางเข้าไม่ไกลมาก แต่พอเข้ามาแล้วพื้นที่จอดรถจักรยานตั้งแต่เริ่มจนสุดไกลมากกก เพราะกั้นถนนริมหาดไว้แค่เลนเดียวการแขวนจักรยานจึงต้องไล่ระยะทางไปยาวๆ น่าจะเกือบกิโลได้ ตอนทรานซิชั่นวิ่งกันสนุกจนหอบแน่เลย แขวนจักรยานเรียบร้อย เอาผ้าใบคลุมนิดนึงแล้วก็เดินกลับไปเอารถ ขับไปแวะซื้อของกินแล้วกลับที่พัก เตรียมอุปกรณ์ ติดเบอร์ เช็คความเรียบร้อย แล้วเข้านอน ซึ่งแน่นอนว่าก็นอนไม่ค่อยหลับเหมือนทุกทีแหละ -..-

         ปัญหาคือนอกจากจะนอนไม่ค่อยหลับเพราะตื่นเต้นแล้ว ฝนยังตกแรงมากจนเสียงดังตลอดคืน ขนาดใกล้เช้าแล้วก็ยังไม่หยุด เริ่มคิดว่าการแข่งจะเป็นยังไงน้อ จะได้เริ่มไหม เพราะตกขนาดนี้น้ำทะเลคงไม่ปกติ คลื่นแรงมากแน่ๆ 

          ถึงเวลาตี 4  (ตื่นก่อนนั้นนานแล้ว) ฝนยังพรำๆ แต่งตัว เก็บของออกจากห้องไปดูสภาพหน้างาน ถึงจุดจัดงานเริ่มมีคนทะยอยมาพอสมควร มองไปทางทะเลคลื่นแรงมากตามคาด ซักพักมีประกาศว่าโปรดรอฟังการตัดสินใจของผู้จัดงานว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ และขอห้ามทุกคนลงน้ำก่อนเวลา นักกีฬารออยู่อย่างมีความหวัง อย่างน้อยฝนก็ไม่มีที่ท่าว่าจะตกหนักขึ้น แม้ว่าจะยังไม่หยุดตก
          สรุปว่าเพื่อความปลอดภัยจะขอเลื่อนการแข่งออกไปครึ่งชั่วโมงหรือกว่านั้นนิดหน่อย ประกาศชัดเจนแล้วทุกคนก็เริ่มเตรียมตัวกันต่อ เสร็จแล้วก็ยังเหลือเวลาเป็นชั่วโมง ในที่สุดก็จะได้เริ่มซะที ได้เวลาไปดูการปล่อยตัวกลุ่มโปรจากที่ไกลๆ แล้วก็ทะยอยเข้าไปเข้าแถวตามรอบปล่อยตัวที่แบ่งตามตามความเร็วของการว่ายน้ำ ใกล้ถึงคิวแถวสั้นลงเรื่อยๆ ตอนนั้นไม่ตื่นเต้นอย่างที่คิด คงอยากเริ่มออกตัวซะทีมากกว่า รอนานแล้ว

แน่นอนว่าไตรกีฬาต้องออกตัวด้วยการ(เดิน)ว่ายน้ำ

Swim ได้เวลาเริ่ม เนื่องจากพอปล่อยตัวสายขึ้นน้ำทะเลก็ลงไปกว่าที่ควรจะเป็น ต้องเดินลงไปในทะเลซัก 200 เมตรกว่าจะว่ายได้ ช่วงแรกว่ายเบียดกันตลอดแทบจะเกยกันเพราะนักกีฬางานนี้เยอะมากกก แม้จะพยายามเร่งแซงหรือผ่อนแรงก็ไม่ช่วยอะไรเพราะข้างหน้าและข้างหลังก็ล้วนแต่มีคนรอจะมาเกยกันไปตลอดทางช่วง 400 เมตรแรก พอหลุดช่วงแรกมาได้เริ่มสบายขึ้น คนยังเยอะแต่เริ่มมีช่องว่างให้ว่าย แต่มันก็จะมาพร้อมการว่ายกบของบางคนและช่วงเลี้ยวที่คนจะมารวมกันอยู่ชิดทุ่น ก็ยังมีฝาดแขนกันเนืองๆ 
   
          จนมาเริ่มว่ายครึ่งหลังซึ่มเป็นการเลี้ยวมารอบใน ระยะระหว่างกลุ่มว่ายเร็วและช้าเริ่มชัด ทำให้ระยะห่างมากขึ้น ครึ่งหลังจึงง่ายกว่าและสั้นกว่านิดหน่อยด้วยเพราะอยู่ด้านใน จนถึงเวลาจะขึ้นฝัง เวลาผ่านไปเกือบ 40 นาที น้ำลงมากขึ้นอีก คราวนี้เดินกันยาวๆ น่าจะเกิน 300เมตร ลดระยะทางว่ายไปพอสมควร 

          แต่ แต่ แต่ สุดยอดดราม่างานนี้ของผมเกิดขึ้นทันทีเมื่อยกนาฬิกาขึ้นเช็คเวลา แล้วพบว่าตัวเรือนการ์มิน 920xt หลุดไปจากสายที่ข้อมือ วินาทีนั้นคืออึ้ง นิ่ง เกิดอะไรขึ้น... ผมใช้ชุด Quick release ที่ออกแบบมาเฉพาะรุ่นสำหรับนาฬิกาไตรกีฬา ให้หมุนถอดตัวเรือนออกจากสายรัดข้อมือได้เพื่อย้ายไปติดตั้งที่จักรยาน แบบที่หมุนไมล์การ์มินตระกูล Edge เข้าออกขาจับ ซึ่งมันสะดวกมากเวลาซ้อม ไม่ต้องคอยก้มดูที่ข้อมือเวลาปั่นจักรยาน ทั้งสะดวกและปลอดภัยไม่ต้องละสายตาจากถนนเวลาปั่น และมันก็หนาแน่นดีชนิดที่ถ้าไม่ตั้งใจปลด ไม่น่าจะออกจากข้อมือได้เอง แต่ แต่ แต่ ว่ายน้ำวันนี้เบียดคนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จังหวะที่เบียดกัน กระแทกกัน อาจมีแขนหรือขาใครซักคนที่ว่ายอยู่ใกล้ๆมากดตรงข้อมือ ในองศาที่พอดีจนบิดเรือนหน้าปัด หลุดออกจากข้อมือได้ 

ชุด Quick release ที่ช่วยให้เอานาฬิกาออกจากข้อมือได้ง่าย(ไปหน่อย)

          ตลอดเวลาที่วิ่งขึ้นจากน้ำไปทรานซิชัน คิดอยู่ตลอดเวลาว่าจากนี้ไปเอาไงดี เสียดายและเสียใจก็เรื่องนึง แต่ตอนนี้ไม่มีอุปกร์ที่เป็นมาตรวัดแล้ว จะออกกำลังหนัก เบา แค่ไหนก็บอกไม่ได้ ไปเร็วยังไง หนักหรือเบาเกินไปหรือเปล่า เบื้องต้นคือ วันนี้เอาไงดี? จะไม่ไปต่อ ก็ไม่ใช่ ทั้งที่เตรียมตัวมาขนาดนี้ ต้องลงแรง เงิน เวลา มาขนาดนี้จะให้เลิกตอนนี้ ต้องไม่สิ ถ้าจะไปต่อแล้วจะเอายังไง เรื่องเวลาคงต้องช่างมัน บอกอะไรไม่ได้ คิดว่าไตรแรกแค่จบสวยๆไม่เจ็บไม่เข้าที่โหล่ก็โอเคมั้ง ส่วนเรื่องหนัก-เบาก็ต้องใช้เช็คความรู้สึกตัวเองเอา เอาน่า วิ่งจบฟลูแรกยังไม่มีนาฬิกา GPS ใช้ด้วยซ้ำ มันต้องไปได้ คนที่มาเข้าร่วมวันนี้บางคนก็ไม่เห็นใส่นาฬิกาเลยก็ยังมี เค้าก็เล่นแบบมีความสุขได้ 

          ตลอดเวลาวิ่งไปทรานซิชันอันยาวนาน(เพราะไกลมาก) ถือว่าเป็นจังหวะเหมาะที่ได้ใช้เวลาคิดได้คุยกับตัวเอง จนเริ่มเข้าจุดจอดจักรยานความคิดก็กลับมาเข้าที่เข้าทาง เก็บอุปกรณ์ว่ายน้ำ ใส่อุปกรณ์จักรยาน วิ่งเข็นจักรยานออกไป ป่ะเราไปปั่นจักรยานเล่นในพัทยา ไปให้ถึง(เขต)สัตหีบเลย

ว่ายน้ำเสร็จน้ำลงไปเยอะแล้ว เดินขึ้นกันยาวๆ
ที่ข้อมือมีแต่สายไม่มีเรือนนาฬิกาแล้ว T-T

Bike เข็นจักรยานมากระโดดขึ้นใส่รองเท้าบนรถ ซึ่งวันนี้เหมาะมากเพราะทางในทรานซิชันไกล ถ้าใส่วิ่งมาคงวิ่งลำบาก เริ่มปั่นไปสังเกตุเห็นน้ำขังบนถนนเป็นระยะๆ ดูท่าทางจะไม่ใช่วันที่ทำความเร็วได้เต็มที่เท่าไหร่ ยิ่งช่วงผ่าน walking street พื้นเป็นคอปเบิลสโตนไม่เรียบ ต้องชะลอเป็นพักๆ 

          พอพ้นมาตัดเข้าถนนเส้นใหม่แถวนาจอมเทียนเริ่มปั่นกันได้เต็มที่ พยายามรักษาความเร็วไว้โดยอ้างอิงจากคันข้างๆที่ความเร็วใกล้กัน วันนี้ไม่มีไมล์ ไม่รู้ทั้งความเร็วทั้งรอบขา ทั้งหัวใจ อยากเน้นประคองไปก่อน เพราะ 53 กิโลที่แถมเพิ่มให้ดูไกลมากกว่าเดิม ระหว่างนี้คงบอกระยะหรือเวลาไม่ได้ตลอดทาง เน้นใช้ความรู้สึก 

          ตลอดเส้นทางปั่นการปิดถนนทำได้ดีทีเดียว การประสานงานและแบ๊คอัพน่าจะดีมาก เพราะจัดแข่งช่วงวันหยุดยาว การปิดถนนเมืองท่องเที่ยวแบบนี้ไม่ธรรมดา เส้นทางรองและเลียบชายหาดปิดได้ 100% เส้นสุขุมวิทสายหลักปิดได้รวม 4 ช่องจราจร และดูแลตามทางแยกได้ดี ปั่นสบาย (แค่สงสารคนมาเที่ยวนิดหน่อย เพราะรถติดสุดๆ) จุดกลับตัวยาวไปถึงบางเสร่เลยป้ายหน้าสวนนงนุชไปหน่อย มีจุดรับน้ำแจกเป็นกระบอกใหม่ให้เลย 

          ขากลับถนนไม่ดีเท่าขาไปแต่ไม่ถึงกับมีปัญหา ระยะห่างแต่ละคันเริ่มมาก รู้สึกปั่นได้นิ่งกว่าเดิม สูดควันรถเยอะขึ้นเพราะกั้นถนนมานาน รถสะสมขึ้นเรื่อยๆทั้งสองฝั่ง จนวกออกจากสุขุมวิทถึงกลับมาโล่งสบาย สรุปตลอดช่วงปั่นนอกจากเรื่องถนนเปียกบ้างแล้วเป็นประเภทกีฬาที่สบายที่สุด ถึงจุดลงรถกระโดดลงแล้วเข็นไปเก็บ เปลี่ยนรองเท้า แล้วออกตัววิ่ง

มีขึ้น-ลงสะพานข้ามแยก นอกนั้นเรียบตลอดเส้นทาง

Run ช่วงขาไปเส้นทางจัดให้วิ่งบนทางเท้าผั่งเรียบชายหาดพื้นเป็นบล๊อคคอนกรีตให้สะเทือนเท้าเล็กๆ ข้อดีคือมองเห็นทะเลไปจนถึงพัทยาใต้เลย ระหว่างทางจุดให้น้ำ-เกลือแร่และฟองน้ำมีอย่างเพียงพอและถี่ (ตลอดทาง 7-8 จุด) 

          ช่วง 5 กม.แรกเป็นทางราบไปจนถึงท่าเรือแหลมบาลีฮาย จากนั้นก็เริ่มขึ้นเขาพระตำหนักซึ่งชันมากสำหรับคนที่ซ้อมวิ่งแต่ทางราบมา 75%เซฟแรงโดยการเดินขึ้นกัน เราก็พยายามจ๊อกไปช้าๆเพราะเห็นว่าสภาพยังดี หอบกำลังดีตอนขาขึ้น 

ถึงจะเดินกันเยอะ แต่ทุกคนจะวิ่งตอนเจอพี่ตากล้อง

          พอเริ่มเป็นขาลงบนเขาแอบมีทางเทรลเล็กๆให้วิ่งไปตามสวนป่า มีลอดอุโมง มีลงบันได แต่ทางมีร่มเงาและเย็นเหมือนเป็นช่วงพัก วิ่งวนไปตามทางแบบงงทิศหน่อยๆก็พาตัดมาเข้าเส้นลงเขาที่ร่วมทางกับเส้นทางจักรยานขากลับ คราวนี้ไม่มีร่มเงาและไอแดดเริ่มร้อนแม้จะยังมีเมฆมากเพราะเลย 10 โมงแล้ว ก่อนจะพาตัดเข้าสู่ walking street เป็นช่วงสุดท้าย พยายามวิ่งให้คงที่ไว้ แต่หาคนตามเพื่อคงความเร็วลำบาก เพราะระยะช่วงท้ายแล้วห่างแต่ละคนเยอะ 

มีทางให้มุดเข้าสวน

          ช่วงกม.สุดท้ายแทบไม่ได้แซงใครและไม่ต้องกลัวใครแซง เพราะคนโล่งแล้ว ใกล้เส้นชัยบรรยากาศยังสนุกสนาน พิธีกรและกองเชียร์ยังแรงดี วิ่งเข้าเส้นชัยได้แบบสบายๆยังไม่หมด เพิ่งรู้ว่าเค้าจะคอยขึงแถบกั้นไว้ให้นักกีฬาทุกคนได้รู้สึกว่าผ่านเส้นชัยไปแล้ว และเราไม่ลืมชูมือกับแผ่นป้ายเผื่อจะได้ภาพสวยๆกับเค้ามั่ง 

งานดีไม่ดีส่วนหนึ่งเราตัดสินกันที่รูปสวย :P

          พ้นจากผ่านเส้นชัย หิวมากเพราะสายแล้วก็ต้องตระเวณหาของกินในงาน ซึ่งบอกได้ว่าอุดมสมบูรณ์มาก (เทียบกับงานวิ่งFull marathon ใหญ่ๆก็ยังเยอะกว่า) มีน้ำมะพร้าวแจกกันเป็นลูกๆ อาหารบริการแบบงานออกร้าน ซึ่งน่าจะพอเพียงกับนักกีฬา เพราะกว่าจะเก็บของออกอีกชัวโมงให้หลังก็ยังเห็นมีให้กิน (ถ้าท่านเล่นได้ตามเวลามาตรฐานอยู่บ้าง ถ้าแบบ 5-6 ชม.+ งานไหนๆก็คงต้องทำใจว่าเค้าจะเก็บบูทกลับไปแล้ว) 
           งานยังมีบริการอ่างน้ำเย็นแช่น้ำแข็งขนาดใหญ่ไว้บริการ ได้ไปทดลองใช้แล้วก็พบว่ามันสบายดีหลังออกกำลังมานานๆ สดชื่น และดีกับการฟื้นสภาพมากกว่าที่คิด เพราะหายปวดเมื่อยเร็ว วันหลังเจอจะแช่อีกแน่นอน พักแช่อยู่ 20 นาทีได้ รู้สึกไอแดดแรงมากเพราะเป็นริมทะเลตอนเกือบ 11 โมงแล้ว แวะไปเก็บของที่จุดจอดจักรยานแล้วเข็นกลับ มีการถ่ายรูปและวีดีโอเก็บไว้เป็นบันทึกเผื่อว่าจะเกิดปัญหาของหายหรือสลับภายหลัง ก็เป็นการดูแลที่ดีเรื่องสุดท้ายของทีมผู้จัดงาน

เหรียญสวย ปลาโลมาน่ารัก

Pro 
- เส้นทางดี ปี2016ได้รับรางวัลของระดับเอเซีย ก็ต้องบอกว่าสมรางวัล รับได้ไม่อายใคร ท้าทายและหลากหลายเป็นประสบการณ์ดีๆของนักกีฬา
- การจัดการและมาตรฐานดี สากลระดับหนึ่ง เตรียมการดี เอนเตอร์เทนนักกีฬาดีสุดๆ 
- น้ำอาหารอุดมสมบูรณ์ ทั้งระหว่างแข่งและหลังแข่ง 

Con
- เนื่องจากรับนักกีฬาเยอะ ก็จะมีสิ่งที่ตามมาคือความวุ่นวายเล็กๆน้อยๆจากจำนวนคน
- ทรานซิชั่นไกลมากกก อันนี้ก็เนื่องจากจำนวนคน และข้อจำกัดของสถานที่ 
- และเนื่องจากมันใหญ่มาก ทำให้คนที่ไม่ใช่นักกีฬาเดินมาในทรานซิชั่นได้ นอกจากจะวุ่นเพิ่มแล้ว ความปลอดภัยก็ลดลง
- ระยะแถมเกินมาตรฐานมาอีกเกือบ 1 ใน 3 คงไม่ใช่งานที่จะมาเอาสถิติได้ แต่ถ้าจะขยับระยะแข่งให้ยาวขึ้นนี่น่ามาลอง

          สรุปแล้วไตรระยะ standard ครั้งแรกก็มีอะไรคาดไม่ถึงเยอะมากสมกับการเป็นครั้งแรกจริงๆ ทั้งดีและก็ไม่ดี เล่นจบระยะนี้ก็พอจะบอกคนอื่นได้ว่าเราเป็นนักไตรกีฬาแล้วมั้งนะ แต่แน่นอนมันก็เหมือนหลักไมล์อื่นๆของชีวิต ความทรงจำดีๆจะยังอยู่แม้เวลาจะผ่านไปนาน (ที่พิมพ์นี่ครบปีพอดี) ยังไงซะที่สุดแล้วมันก็จะผ่านไป และก็จะมีหลักอื่นๆผ่านเข้ามาเพิ่ม อยู่ที่ว่าเราเรียนรู้อะไรได้จากหลักเหล่านั้นบ้างไหม 

          ตอนจบงานนี้ใหม่ๆได้โพสข้อความเพิ่มบน FB ไป กลับมาอ่านดูก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากหลักนี้ของชีวิตแล้วกัน  

          "ไตรกีฬาบอกให้คนเล่นรู้ว่า ทุกคนต่างมีจุดแข็งจุดอ่อนของตัวเอง แม้เราจะทำไม่ได้ดีไปหมดทุกอย่าง แต่เราก็มีศักยภาพพอจะทำในบางอย่าง บางสิ่ง ที่บางคนคิดว่าไม่มีทางทำได้ และถ้าพยายามมากพอ ทุกคนก็ผ่านเส้นชัยของตัวเองได้ทั้งนั้น"

ปล.ลาก่อน 920xt คิดถึงแกนะ และสวัสดี fenix3 ไปต่อด้วยกันไปนานๆล่ะ



วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2559

Couse review : การฝึกไตรกีฬาขั้นต้น หลักสูตรเติมให้เต็ม

 
รุ่น 11 เมษายน 2559


         จากที่ทางสมาคมไตรกีฬาแห่งประเทศไทยมีโครงการฝึกสอนให้ความรู้ด้านการเล่นไตรกีฬาให้กับบุคคลทั่วไปที่ออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ(?) เช่นเราๆ ทำให้ได้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมตามความตั้งใจที่จะหาความรู้เพิ่มเติมหลังจากได้มาลองเล่นกีฬาชนิดนี้แล้วรู้สึกชอบ และอยากพัฒนาตัวเองเพื่อไปลงเล่นในระยะที่ไกลขึ้น(Standard) จากเงื่อนไขด้านเวลาและสถานที่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯมากเกินไป เลยมาลงตัวกับหลักสูตรนี้



          หลักสูตรเติมให้เต็มมีเปิดสอนทุกเดือน ใช้สถานที่ฝึกบริเวณหาดแม่พิมพ์ จ.ระยอง และพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีระยะเวลาในการฝึกสองวัน(เสาร์-อาทิตย์) แบ่งเป็นภาคเช้าและบ่าย รวม 4 ช่วง มีรายละเอียด ดังนี้

-                วันที่ 1 ช่วงเช้า [ว่ายน้ำในสระ] เริ่มเวลาประมาณ 9.00 น. ที่สระว่ายน้ำโรงแรมสินสยาม พูดคุยทำความรู้จักแนะนำตัวกันระหว่างผู้ฝึกและผู้สอนเล็กๆน้อยๆ จากนั้นเปลี่ยนชุดลงสระว่ายน้ำ ครูจะให้ลองว่ายน้ำทีละคน คนละ 1 รอบในท่าฟรีสไตล์เพื่อดูทักษะที่มีอยู่เดิม เมื่อทราบแล้วจะแนะนำในสิ่งที่แต่ละคนยังต้องได้รับการเรียนและฝึกเพิ่ม และให้จับคู่กับนักกีฬาเยาวชน/อดีตทีมชาติที่เป็นผู้ช่วยฝึกสอนซึ่งจะคอยแนะนำตามความเหมาะสมตลอดช่วงเวลาที่ฝึกในสระ หากเพิ่งเริ่มต้นว่ายน้ำหรือยังไม่มีพื้นฐานมากจะได้ฝึกพื้นฐานเบื้องต้นอย่างการตีขา การหมุนไหล่และแขน การหายใจ การใช้อุปกรณ์ช่วยฝึกอย่าง poolbuoy ฯลฯ หากสามารถว่ายน้ำได้ระดับหนึ่งแล้วจะได้รับการแนะนำเพื่อปรับสโตรกและท่าทางการว่าย โดยเน้นประสิทธิภาพ ความถูกต้องของท่าทาง ให้เหมาะสมกับการว่ายใน Open water อย่างละเอียดแบบดูกันรอบต่อรอบที่ว่าย ปรับไปเรื่อยๆทีละรอบ จนกว่าจะอยู่ตัวเป็นที่พอใจทั้งสองกลุ่ม (รวมๆกันว่ายไป 2 km.ได้) จะไปสิ้นสุดการฝึกช่วงเช้าประมาณ 12.00 น.

พูดคุยกันก่อนเริ่มต้นวัน

ลงสระ ว่ายเพื่อดูสกิลแต่ละคน

แยกฝึกว่ายตามพื้นฐาน

ปรับสโตรกกันรอบต่อรอบ

บรรยากาศในสระตลอดช่วงเช้า

-                วันที่ 1 ช่วงบ่าย [ว่ายน้ำในทะเล] รวมตัวบริเวณชายหาดประมาณ 14.30 น. อธิบายเกี่ยวกับความแตกต่างของการว่ายในสระและทะเลเล็กน้อย ระหว่างนี้ผู้ช่วยครูฝึกจะไปผูกทุ่นในทะเลเพื่อช่วยเป็นบอกระดับความลึก เป็นแนวเล็งทิศสำหรับการว่าย และเป็นสัญลักษณ์เตือนเรือและเจตสกีไม่ให้เข้าใกล้เพื่อความปลอดภัยของการเรียน จากนั้นเราก็เดินลงทะเลไปฝึกการลอยตัวและพื้นฐานคล้ายกับที่ฝึกในสระ โดยว่ายไป-กลับเข้าออกฝั่ง จุดประสงค์เพื่อให้คุ้นเคยกับการว่ายน้ำในทะเล ที่จะมีปัจจัยต้องคำนึงมากกว่าอย่างคลื่น ทัศนวิสัย กำหนดทิศทาง (และความเค็มจนลิ้นชา) หากมีประสบการณ์แล้วจะมาว่ายไป-กลับทุ่นที่ผูกไว้ก็ได้ โดยจะมีน้องๆผู้ช่วยฝึกคอยว่ายตามและแนะนำเพิ่มเติม เหนื่อยก็สามารถขึ้นมาพักแล้วค่อยลงไปใหม่ได้จนพอใจ ใช้เวลาจนถึงเกือบ 17.00 น. ก็ขึ้นจากทะเลมาสรุปและนัดแนะกิจกรรมของวันที่สอง ก่อนแยกย้ายกันไปพักผ่อน

หาดแม่พิมพ์เงียบสงบ น้ำใส แต่แดดแรงกว่ารูปสามเท่าได้

ลงทะเลเพื่อความคุ้นเคยกับ Open water

ทุ่นแรกอยู่ในระยะยืนถึง มีคายัคแสตนด์บาย

-                วันที่ 2 ช่วงเช้า [จักรยาน] นัดพบกัน 7.00 น. บริเวณลานจอดเฮลิคอปเตอร์ใกล้วังสุดหาดแม่พิมพ์ ทางครูและน้องๆผู้ช่วยมาเตรียมสถานที่จำลองจุด Transition ด้วยการปูพรมและตั้งที่แขวนจักรยานไว้ก่อนแล้ว ประกอบจักรยานของตัวเองแล้วนำไปแขวนรอหรือปั่นวอร์มเล่นซัก 5-10 นาที แล้วมารวมตัวกัน (สำหรับใครที่ยังไม่มีจักรยาน Roadbike สามารถแจ้งล่วงหน้าให้ครูช่วยเตรียมให้ได้) วันนี้ครูเริ่มจากแนะนำและสาธิตการออกแรงปั่นจักรยานอย่างถูกวิธีหรือพื้นฐานการควงขา (กด-ปาด-ดึง-ไส) แล้วขึ้นปั่นโดยประกอบรถเข้ากับเทรนเนอร์ซ้อมจักรยาน ให้ทดลองปั่นอยู่กับที่ประมาณ 15 นาที แล้วลงมาปั่นรอบลานแบบเน้นควงขาและรอบที่เหมาะสมตามที่ได้เรียน 

เช้ามามี Transition area รออยู่กลางลาน

วอร์มเสร็จแล้วมาเริ่มเรียนพื้นฐานการปั่น

ขึ้นเทรนเนอร์อย่างเป็นระเบียบ (ปั่นเทรนเนอร์กลางแจ้งเป็นภาพหายาก)

             ช่วงเช้านี้รูปแบบการฝึกจักรยานจะเป็นบรีฟสั้นๆสอนทักษะที่จำเป็นสำหรับการปั่นจักรยานถนนเป็นชุด โดยมีน้องๆผู้ช่วยสอนทำให้ดูเป็นตัวอย่าง สลับกับปั่นรอบลานเพื่อทดลองสกิลชุดนั้นๆ ตัวอย่างชุดสกิลที่ฝึกเช่น การเข้าโค้งซ้าย-ขวา การจับแฮนด์ในตำแหน่งต่างๆ การพักก้นด้วยการยืนระหว่างปั่น การปล่อยมือปั่นจักรยาน 1-2 มือ การหยิบขวดน้ำเพื่อดื่ม ฯลฯ มีการสอนการเปลี่ยนชนิดกีฬาและอุปกรณ์ใน transition แสดงการขึ้นจักรยานเพื่อออกตัวและการลงจากจักรยานแบบที่ใช้ในการแข่งขัน ก่อนจะปิดช่วงสุดท้ายโดยให้ฝึกการคุมรถโดยการปั่นซิกแซกสลับกรวยที่ตั้งไว้ โดยค่อยๆลดระยะระหว่างกรวยลง และฝึกการทรงตัวให้นิ่งโดยปั่นให้ช้าที่สุด สิ้นสุดการฝึกช่วงเช้าประมาณ 11.00 น.

รวมตัวกันบรีฟสั้นๆ 

น้องๆสาธิตเป็นตัวอย่าง

ปั่นเสร็จก็บรีฟอีกเป็นรอบๆสลับกัน

Transition technique ได้เห็นของจริงแล้วลองทำเป็นก็ที่นี่ หลังจากกลัวมานาน

ซิกแซกกับทรงตัวนิ่งๆเป็นพื้นฐานที่ไม่เคยซ้อมมาก่อน ยากกว่าที่คิด

-                วันที่ 2 ช่วงบ่าย [วิ่ง+สรุป] มารวมตัวกันอีกครั้งหลังอาหารกลางวันเวลา 13.00 น. ที่ส่วนจัดเลี้ยงด้านหลังโรงแรมสินสยาม(อยู่ในร่ม) ในส่วนการวิ่งเริ่มจากครูจะมาอธิบายหลักเบื้องต้นของการวิ่ง เน้นการวิ่งระยะไกลในที่นี้คือตั้งแต่ 5 km. ขึ้นไป จากนั้นจะให้ผู้เข้าฝึกมาวิ่งบน Treadmill เพื่อดูฟอร์มการวิ่งทีละคน เพื่อชี้จุดยังไม่ถูกหลักควรปรับแก้ไข แต่ในที่นี้ครูอธิบายได้ว่าจังหวะการวิ่งเป็นสิ่งเฉพาะบุคคล บางคนก้าวยาว-สั้น รอบขาช้า-เร็ว จะไม่เหมือนกันก็ถือเป็นเรื่องปกติ ที่ควรสนใจปรับคือท่าทางการวิ่งให้เข้ากับรูปแบบที่ถูกต้อง หลักสำคัญคือทำอย่างไรเราจึงจะใช้แรงน้อยที่สุด เพื่อไปได้ไกลที่สุด หรือไปได้เร็วตามที่ตั้งใจ ที่สำคัญเพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บจากการวิ่ง

เริ่มส่วนการวิ่ง

ทีละคนเหมือนเดิม ฟอร์มวิ่งเก๋ๆก็จะได้วิ่งโชว์เยอะหน่อย

               จากนั้นจะสอนการยืดเหยียดแบบมีการเคลื่อนไหว (Dynamic stretching) และท่า Drill เพื่อจัดท่าทางให้ถูกต้องก่อนเริ่มวิ่ง โดยให้ฝึกตาม 5 ท่า ท่าล่ะ 3-5 เที่ยว แล้วเปลี่ยนบรรยากาศออกไปวิ่งวนรอบสระเก็บน้ำใต้ร่มไม้ระยะทางประมาณ 1 km. เพื่อให้ได้ทดลองวิ่งในท่าที่ปรับมา ปิดท้ายด้วยการซ้อม Drill เน้นยกเข่าโดยยันตัวกับกำแพง ซึ่งเป็นท่าที่นำไปซ้อมได้บ่อยในที่แคบอย่างในห้องหรือหน้ากระจกเพื่อเช็คความถูกต้อง เป็นอันจบส่วนของการวิ่ง จากนั้นยังมีการสอนทฤษฎีเกี่ยวกับจักรยานอีกเล็กน้อย อย่างการถอดใส่ล้อ การใช้เกียร์ ฯลฯ เสริมจากภาคเช้าที่เน้นปฏิบัติจริง และมีสรุปกิจกรรมกันอีกเล็กน้อย เป็นอันจบการฝึกทั้งหมดที่เวลาประมาณ 16.00 น.

ยืดเหยียดแบบเคลื่อนไหว

Drill 

Outdoor running แม้บ่ายสองแต่มีร่มไม้ก็ไม่มีปัญหา

ดูเรื่องอุปกรณ์จักรยานอีกนิดหน่อยก่อนสรุปจบ

          ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นสำหรับข้อดีและข้อสังเกตของการเข้าร่วมฝึกกิจกรรมนี้ จากมุมมองของผู้มีโอกาสได้รับการฝึกตามหลักสูตร ผมเองออกกำลังกายแบบ Multisports ทั้งสามชนิดมาเพียงประมาณ 8-9 เดือน (ณ เม.ย.59) ผ่านการเล่นไตรกีฬามาเพียงระยะสปรินท์ ซึ่งถือว่าเป็นมือใหม่ และในแต่ละกีฬาที่เล่นไม่เคยได้รับการฝึกสอนอย่างเป็นขั้นตอน ความรู้และวิธีการซ้อมส่วนใหญ่ได้จากการสอบถามผู้มีประสบการณ์และค้นคว้าข้อมูลจากอินเตอร์เนตเพียงเท่านั้น จึงไม่อาจเปรียบเทียบกับหลักสูตรใดๆได้ เป็นเพียงมุมมองส่วนบุคคลครับ

-           - เป็นหลักสูตรที่ให้ความรู้เบื้องต้น เหมาะกับตั้งแต่ผู้เริ่มต้นที่เพิ่งสนใจยังไม่เคยมีประสบการณ์เลยจนถึงระดับพอมีประสบการณ์มาแล้วแต่อยากได้รับความรู้เพิ่มเติม ครูผู้สอนมีประสบการณ์ยาวนานทั้งในฐานะนักกีฬาและในฐานะผู้ฝึกสอนนักกีฬาระดับเยาวชน/ทีมชาติ ทำให้การสอนและการอธิบายเข้าใจง่าย พื้นฐานที่จำเป็นครบถ้วน

-           - หลักสูตรสอนทฤษฎีไม่มาก (ทางครูต้องการให้ไม่เกิน 10%)  ทำให้ไม่น่าเบื่อ เน้นภาคปฎิบัติเยอะให้ได้เรียนรู้จากของจริง (เหมาะกับวัยกลางคนสมาธิไม่ยาวแบบผมมาก) หากอยากเรียนแบบเลคเชอร์ทางครูแจ้งว่าจะมีเปิดหลักสูตรสอนให้เพิ่มเติมให้สามารถมาเข้าร่วมได้

-           - หากเป็นผู้มีประสบการณ์เล่นไตรกีฬามาในระดับหนึ่งแล้ว สิ่งที่ได้จากการเรียนภาคทฤษฎีอาจเป็นความรู้ที่ท่านมีอยู่แล้ว แต่ในภาคปฎิบัติการได้มาร่วมกิจกรรมกับน้องๆเยาวชน/อดีตทีมชาติ การได้คำแนะนำ เทคนิก และการตอบคำถามที่ได้รับเพื่อไปพัฒนาตัวเองยิ่งๆ ขึ้นมีค่าแน่นอน เชื่อว่าคุ้มค่าครับ

-          - จำนวนที่เปิดรับต่อรุ่นไม่เกินประมาณ 10 คน ได้ประสิทธิภาพสูง บรรยากาศสบายเป็นกันเอง

-           - น้องๆระดับเยาวชนที่มาช่วยฝึกกระตือรือล้นมาก พลังงานเหลือเฟือ เพราะน้องก็มาเข้าแคมป์เก็บตัวเตรียมแข่งเหมือนกัน ช่วงพักมีติดเล่นกันตามวัยนิดหน่อยพอสนุกสนาน

-           - สามารถมาลงฝึกซ้ำได้ตามต้องการเมื่อมีการฝึกในรอบต่อๆไป ไม่จำกัด โดยไม่มีค่าใช้จ่าย (มาแก้สโตรกกันซะให้พอ -o-)

-           - เนื่องจากเวลามีจำกัด อีกทั้งแนวทางหลักสูตรมีความยืดหยุ่นปรับกันตามความเหมาะสมกับผู้ฝึก ในส่วนรายละเอียดการฝึกของแต่ละรุ่นอาจแตกต่างกันบ้างเล็กน้อย (แต่มาซ้ำได้เรื่อยๆอยู่แล้ว)

-           - ได้รู้จักเพื่อนรุ่นพี่รุ่นน้องคอเดียวกัน หาเพื่อนไปงานวิ่ง 5-10 โลอาจไม่ยาก แต่จะหาคนไปว่าย/ปั่น/วิ่ง ตากแดด ตากลมทั้งวันนี้ไม่ง่ายเลย เจอคนที่คุยกันรู้เรื่องสนุกนะครับ

-           - อันนี้ไม่ค่อยเกี่ยว แต่แหลมแม่พิมพ์หน้าร้อน แดดแรงมาก ว่ายน้ำชุดเปิดไหล่ครึ่งวันไหล่ไหม้ นอนตะแคงไม่ได้ ตอนนี้ลอกแล้วเรียบร้อย (T-T) 

              ข้อมูลและรายละเอียดหลักสูตรสามารถดูได้จาก http://www.thaitri.org/ สนใจมาสนุกกับไตรกีฬาด้วยกันได้ครับ

วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

Audax 200 BRM Tha-Chin

Audax 200 BRM Tha-Chin (ท่าจีน)
เส้นทางบางใหญ่ จ.นนทบุรี - บางปลาม้า จ.สุพรรณบุรี
ระยะทาง 200 KM. / ช่วงเวลา 7.00-16.35 น.

บรรยากาศดีๆน่าคิดถึง

     เปิดอย่างเป็นทางการครั้งแรก (BRM) ตรงกับวันตรุษจีนของปี 2559 น่าจะเป็นเหตุให้มีผู้มาร่วมกิจกรรมไม่มาก แม้ว่าจุดปล่อยตัวอยู่ใกล้กรุงเทพฯ อบต.บางรักพัฒนา ใกล้ๆบางใหญ่ การเตรียมการของผู้จัด BBCC เรียบร้อยดีมาก แม้สถานที่บริเวณที่ทำการอบต.จะไม่ใหญ่มาก แต่ก็เตรียมที่จอดรถให้จนพอเพียง ข้าวต้มตอนเช้าก่อนปล่อยตัวก็อร่อยด้วย ^^

     ออกตัวตามเวลา 7.00 ต้องค่อยๆทยอยออกเพราะเส้นที่เป็นซอยเข้าแคบนิด แต่แค่ช่วงสั้นๆ หลังจากนั้นก็ไปตามถนนคสล.สภาพดีๆยาว แต่พอแยกออกเข้าเส้นรอง เจอถนนขรุขระเข้าไปแถมลูกระนาดเป็นช่วงๆ รถสั่นสุดๆจนถึงกับกระติกน้ำเลื่อนออกจากขากระติกหล่น ก่อนจะทันเบรกเพื่อเก็บก็พบว่ารถบรรทุกที่ขับตามมาเหยียบทับแตกเรียบร้อย กระติกเดียวที่พกมาไปซะตั้งแต่สิบกิโลแรก อืม วันนี้คงยาวนานเป็นพิเศษ

กะเวลาเดินทางไม่ถูกมาตั้งแต่ยังมืด สติเข้าร่างตอนจะปล่อยตัว

     ระหว่างทางช่วง 50 กิโลแรกยังไปกันได้สบายๆ ร้านค้าข้างทางยังมี แวะซื้อน้ำขวดใส่แทนพอได้ แค่ต้องคอยระวังหน่อยเพราะขวดเล็ก ต้องคำนวณระยะทางให้ดีๆ ลมพัดแรงพอดู แต่ช่วงเริ่มต้นยังปั่นกันเกาะกลุ่ม ไปกันได้เรื่อยๆจน Checkpoint 1 

     ช่วง CP1-CP2 นี่เป็นของจริงของวันเลย เส้นทางใกล้เลียบแม่น้ำ สองข้างทางค่อนข้างโล่ง ลมแรงมาก เพิ่งเคยปั่นตอนที่มีลมแรงขนาดนี้ ลมแรงขนาดไม่กล้าปล่อยมือเดียวไปหยิบขวดน้ำและขนมกินระหว่างทาง กลัวคลุมรถไม่อยู่ ตัดสินใจไม่ได้ว่าปั่นตามให้คนอื่นยังลมแต่เสียงเกี่ยวกันล้มเพราะเซ กับปั่นเดี่ยวแล้วต้องฝ่าลมไปเองอันไหนเหมาะกว่า ก็พยายามลองดูทั้งสองแบบสลับกันไป ช่วงซักกิโล 75-85 น่าจะยากที่สุด เพิ่งเคยปั่นแบบเข้าเกียร์จานหน้าใบเล็ก จานหลังใบกลางๆ ทั้งที่ถนนเป็นทางราบตลอด แถมกดจนสุดแรงแล้วความเร็วไปได้ 20 km./h. หลายๆคนมีท้อ ก็ปลอบใจกันไปว่าขากลับลมมันคงจะส่งเรามั่งละน่า ลากไปจน CP2 วางแผนพักกันยาวนิด 

โล่งๆ ยาวๆ ลมๆ
Cr. BBCC

     ออกจาก CP2 มองหาร้านข้าวกินเนื่องจากที่ CP2 ร้านน้อยคิวยาว แต่ แต่ แต่ วันนี้วันตรุษจีน ร้านหยุดกันระนาว ขนาดวนไปตลาดแถวนั้นยังแทบไม่มีร้านเปิด ที่เปิดก็โดนชาวจักรยานจับจองนั่งกันเต็มร้าน สรุปที่พึ่งก็ต้องเป็น 7-11 ไม่ได้กินข้าวกล่อง 7-11 นานแล้วเหมือนกัน เอาซะให้หายคิดถึง หลังกลับตัวมาอีกฝั่งแม่น้ำ คราวนี้ลมส่งที่รอคอยก็มาช่วยดันหลังซักที อัดยาวๆครับ โซโล่เดียวได้แบบไม่ต้องหากลุ่มเพื่อตาม แต่ก็ตามกลุ่มเล็กไปห่างๆอยู่นะ จะได้ไม่เหงาไป ยาวได้จน CP3 มีกล้วยกองสูงๆและหมี่ผัดสีชมพูสดใสรออยู่ กินไปนึกถึงอาหารเต็มโต๊ะมื้อกลางวันตรุษจีนไป 55+

ไม่ได้ปั่นถึง 200 km. มาครบปีพอดีแป๊ะ

     ออกจาก CP3 เหลืออีก 50 km. สุดท้ายปรากฎว่าไม่มีลมส่งแล้ว ไม่แน่ใจว่าเส้นทางไม่เรียบแม่น้ำแล้ว หรือลมหยุดพัก ขาดตัวช่วยก็พยายามคงความเร็วไปเรื่อยๆ แต่เร่งมากไม่ได้หมดแรง เข้าใจว่าช่วงต้านลมตอนเช้าดูดพลังไปเยอะ ประคองไปเรื่อยๆ พอเข้า 20 กิโลสุดท้ายมองไปไม่มีคนปั่นใกล้ๆเลยต้องปั่นไปอ่านคิวชีทไป ได้ความเป็น Audax เอาช่วงสุดท้ายนี่แหละ กดไปเรื่อยๆพอมีกลุ่มเล็กตามมาทันก็อาศัยเกาะไปห่างๆจนถึงจุด Finnish ลงเวลาแล้วเห็นว่าจบเร็วกว่าที่คิดนิดหน่อย เลยไปเปลี่ยนรองเท้าวิ่งมาจ๊อกกิ้งทำเป็นซ้อม Brick แต่รู้สึกว่าจะได้โลเดียวก็ขี้เกียจ(หรือหมด) เก็บอุปกรณ์ ขับกลับบ้านพักผ่อน 
จบงานนี้ก็ได้รู้ว่าเซนเซอร์ระยะการ์มินทำระยะหายไป 5% เอาไว้ขึ้นเทรนเนอร์พอ

     ไม่ได้ Audax มานาน ก่อนมาก็ซ้อมแค่ 60-70 km. ก็ยังพอไหว คงเป็นเพราะเพิ่งจบฟูลมาราธอนที่จอมบึงไป ระบบ Endurance ยังอยู่ตัว ปวดก้นปวดคอก็ตามปกติ ปีนี้คงจะหาโอกาศกลับมา Audax อีกตามที่โอกาสอำนวย แต่ยังตามความตั้งใจเดิม One day race เท่านั้น ไม่อดนอนปั่นข้ามคืนเน้อ

     สรุป Audax 200 BRM Tha-Chin เน้นปั่นเส้นเลียบแม่น้ำท่าจีน ถนนดีเรียบ 99% รถน้อย มีโค้งเยอะไม่น่าเบื่อ เส้นทางราบตลอด ควรจะเป็น Audax ที่ง่ายที่สุดในประเทศไทย เว้นแต่ว่าวันตรุษจีนลมแรงมาก++ (อาจเรียกลมแถวสุวรรณภูมิได้ว่าลมพัดเอื่อยๆ)

     รำลึกความหลัง 1 ปีพอดีกับ Audax ครั้งล่าสุดคือ 200 อยุธยา ก่อนจะรถล้มเข้ารพ. การปั่นจักรยาน 200 KM. ก็ไม่ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม แค่ไม่ยากมากเท่าเดิมแค่นั้นเอง

วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

#RACE2016 ฟูลมาราธอนครั้ง ที่ 3 กับจอมบึงมาราธอน 2016

สสส.จอมบึงมาราธอน ครั้งที่ 31


          หนึ่งในประโยคที่ได้ยินบ่อยๆเวลานักวิ่งถามกันว่าไปลงวิ่งงานไหนดี เป็นนักวิ่งไทยควรไปวิ่งจอมบึงให้ได้ซักครั้งในชีวิต ใครๆที่เคยมีโอกาสไปวิ่งที่จอมบึงมักจะมาถ่ายทอดประสบการณ์ที่ตัวเองพบเจอ ส่งต่อความประทับใจให้นักวิ่งที่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ไป - โห มันดีนะ - ไม่เหมือนงานไหน – ชาวบ้านท้องถิ่นสนับสนุนมาร่วมสนุกกับนักวิ่ง - ใครๆก็มาทำสถิติใหม่ของตัวเองกันได้ที่นี่ - อ่ะ ปีนี้อะไรๆก็ประจวบเหมาะ จังหวะดีขนาดนี้ ลองสิครับ ลอง

          แต่เดี๋ยวก่อน ในเมื่อมันที่เป็นที่รู้จักและชื่นชอบดีขนาดนี้ แถมช่วงนี้ Running Boom ด่านแรกที่ต้องผ่านให้ได้ก่อนจะเริ่มซ้อมระยะมาราธอนเสียอีกคือ... สมัครให้ทันนะจ๊ะ เนื่องด้วยปีนี้ให้การรับสมัครออนไลน์ทั้งหมด(น่าจะปีแรก) งานนี้จึงได้สถิติใหม่ไปครองเพิ่มเติม คือระยะมาราธอนเต็มเร็วที่สุดของงานวิ่งในประเทศ ภายในวันครึ่ง (ฟลูมาราธอนนะครับ ไม่ใช่ระยะที่นึกจะวิ่งก็ออกไปวิ่งแน่นอน) ด้วยความตั้งใจหรือบุญที่ทำมาก็ดี เมื่อเห็นคนพูดกันหนาหูเราก็เตรียมพร้อม เฝ้าหน้าคอมตั้งแต่สายๆ ก่อนจะพบว่า ตัวเลขผู้สมัครรันอัดดับไปเร็วมาก ด้วยความสังหรใจ กดสมัครไว้ก่อนและกัน ต่อมาระบบเริ่มล่มเพราะคนเข้าไปดูเวปเยอะมาก ก่อนจะพบว่าวันถัดมาก็เต็มแล้ว ปิดรับ อ่า... ได้ไปแล้วเรา (แต่ชะล่าใจหาที่พักไม่ได้ต้องนอนในเมืองนะ -.-)


          แล้วทำไรต่อ ก็ซ้อมสิครับ แต่ แต่ แต่ งานมีหลังกรุงเทพมาราธอน 2 เดือน ได้อานิสงค์มาหน่อย ไม่ต้องกลับไปเริ่มโปรแกรมใหม่แต่ต้น ไปซ้ำเอาช่วงหนักสุดเลย ซึ่งมันก็เท่ากับพอฟื้นตัวต้องหาเวลาวิ่ง 30 km.+อีกอย่างน้อย 2 รอบ ยังไม่พอ เปรี้ยวไปลงงานว่ายน้ำข้ามเกาะเสม็ด กว่าจะพร้อมซ้อมวิ่งก็เหลือเดือนเดียว ยังดีที่ผ่านตามตารางได้แม้จะด้วยความรู้สึกไม่สดเท่ากรุงเทพมาราธอน แต่เอาน่ะ บุญเก่าน่าจะยังมี สรุปเป็นสามเดือนสิ้นปีที่ซ้อมหนักสุดตั้งแต่มาออกกำลังกายจริงจังเลยทีเดียว


ราชบุรีก็มีที่เที่ยวสนุกๆอยู่นะ

          วูบเดียวรู้สึกตัวอีกที่ ก้มหน้าหาที่เที่ยวในเขตจังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากชวนคุณภรรยามาด้วยกัน ถือเป็นการพักผ่อนแบบเที่ยวด้วยวิ่งด้วยไปในตัว (ประสบความสำเร็จดี หวังว่าจะมีงานต่อๆไปเรื่อยๆ) วันเสาร์ที่ 16 เลยได้เที่ยวตามเส้นทางจากกรุงเทพไปจอมบึง ก่อนที่ค่ำๆจะแวะไปรับ BIB ที่ม.ราชภัฏจอมบึง สถานที่ปล่อยตัว บรรยากาศเมื่อมาถึงพบว่ามันไม่เหมือนงานไหนๆที่เคยไปมาก่อน (วิ่งงานมาไม่เยอะเท่าไหร่) เป็นระบบ มีระเบียบ แต่จัดกันสบายๆ ผ่อนคลาย มีตกแต่งไฟ เครื่องเสียง ได้ยินนักวิ่งที่เดินผ่านไปมาทักกันว่าคล้ายงานวัดดี ส่วนตัวคิดว่าคล้ายๆงานประจำปีของชุมชนมากกว่า เดินไปหอประชุมรับ BIB ใช้เวลาแป๊บเดียว ออกมาเดินดูงาน Expo ร้านเยอะอยู่แต่มาเย็นไปหรืออย่างไรของเริ่มเก็บๆสงสัยขายกันเกือบหมดแล้ว ช้าไปหน่อย เช็คดูจุดปล่อยตัว จุดเข้าห้องน้ำ ฟ้าก็มืดแล้ว กลับเข้าตัวเมืองราชบุรีไปหาข้าวกินและพักผ่อน

BIB 0444 ออกเบอร์ตอง

     เข้าวันวิ่ง เดินทางออกจากที่พักประมาณตี 2 นิดๆ แวะรับน้องชายลูกพี่ลูกน้องที่มาเปิดมาราธอนแรกที่งานนี้ขึ้นรถไปด้วยกัน ตีสามก็มาถึงจุดจอดรถ กินขนมปังนมถั่วเหลืองตามเวลาที่ตั้งใจไว้ ก่อนจะเดินไปจุดปล่อยตัวที่ห่างไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร บรรยากาศจุดปล่อยตัวคึกคัก มีวงดนตรีพื้นบ้านมาเล่น มีพิธีกรคอยคุยเพิ่มความสนุกสนาน  นักวิ่งมากันเยอะมากแล้วจากหลายๆระยะ เนื่องจากจะมีการปิดถนนสำหรับขบวนเสด็จจากท่านที่มาร่วมวิ่งระยะฮาร์ฟ ทำให้นักวิ่งเลือกออกมาที่จุดปล่อยตัวกันเร็ว แยกย้ายกับน้องไปจุดปล่อยตัวที่อยู่แยกกันตามระยะเวลาที่คิดว่าจะวิ่งจบ ประมาณตัวแล้วเลือกไปอยู่กลุ่ม C คือจบใน 5 ชม.เวลาครึ่งชั่วโมงก่อนปล่อยตัวผ่านไปเร็วมากครู่เดียวก็ตี 4 ได้เวลาปล่อยตัว ตามเวลาแป๊ะ

รอปล่อยตัวตามกลุ่มเวลา

ออกตัวระยะมาราธอน 4.00 น.

     -จุดปล่อยตัว – กม.ที่ 10 ออกตัวมาเริ่มวิ่งสบายๆ ถือเป็นการวอร์มก่อนเพราะปกติถ้าไกลขนาดนี้จะไปใช้ช่วงแรกของการวิ่งวอร์มเลย พ้นเขตม.ราชภัฏได้นิดเดียวพอเริ่มเข้าเขตตลาดก็เริ่มเห็นกลุ่มเด็กน้อยตัวแทนจากโรงเรียนต่างๆในอ.จอมบึงมาตั้งแถวเป็นกลุ่ม ร้องเพลง ปรบมือ ยืนเชียร์และให้กำลังใจนักวิ่งตามทาง เชื่อว่าทุกคนที่ผ่านจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ น่ารักมากกก เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทุกคนจะชมเวลามาวิ่งงานวิ่งที่จอมบึง มันทำให้การออกตัวมาราธอนซึ่งปกติช่วงครึ่งแรกจะเป็นอะไรที่เงียบ มืด ไปเรื่อยๆกลายเป็นบรรยากาศที่แตกต่าง ภาพนักวิ่งหลายคนหยุดเล่นกับเด็กๆจากนี้ไปจะเห็นได้เกือบทุกจุดที่มีน้องๆมายืนเชียร์ยิ่งดูน่ารักเข้าไปใหญ่ พอผ่านกิโลที่ 6 ไล่มาทัน Pacer 5.00 แล้วค่อยๆแซงไปทีล่ะนิด แล้วแสงไฟรอบตัวเริ่มมืดลงเนื่องจากผ่านเขตตลาดและชุมชนแล้ว สองข้างทางวิ่งเริ่มเป็นทุ่งโล่ง นักวิ่งกระจายตัวกว่าช่วงปล่อยตัวที่เบียดกันมา เริ่มมีลมพัดรวมถึงความชื้นทำให้อากาศเย็นลงเรื่อย ปัญหาแรกมาแล้ว ผมหนาว (-..-) ใครจะไปเชื่ออากาศปกติของตอนนั้นเป็นช่วงเดือนมกราคมที่ไม่มีมวลอากาศเย็นพัดมา ปกติก็ประมาณ 30 องศา แต่เช้ามืดวันนี้ มั่นใจว่ายี่สิบต้นๆ แน่นอน เหงื่อที่ซึมออกมาจนเสื้อเปียกแล้วกลายเป็นยิ่งทำให้เย็นรู้สึกได้ว่ากำลังจะสั่น ปัญหาที่สองก็ตามมา พอหนาวแล้วก็ปวดฉี่บ่อย (-..-) ยังพอมีปั้มข้างทางแต่การเข้า-ออกห้องน้ำครั้งนึงเสียเวลาเป็นนาที จนในสิบกิโลแรกนี้ยังตาม Pacer 4.45 ไม่ทันซักทีเนี่ยสิ

สองข้างทางสนุกสนาน

ซักพักก็ออกมานอนชุมชน

     -กม.ที่ 11-20 วิ่งออกห่างจากชุมชนมาเรื่อยๆ สองข้างทางเป็นพื้นที่เกษตรกรรม นานๆจะเจอบ้านซักหลังกับกลุ่มน้องๆกองเชียร์ ที่จะอยู่ด้วยกัน สังเกตได้โดยดูแสงจากหลอดไฟ เริ่มวิ่งทำความเร็วได้ตามเพซที่ตั้งใจ และเปลี่ยนไปแวะหลบมุมต้นไม้ฉี่ข้างทางทำให้ไม่เสียเวลาเท่าเก่า (แต่ช่วงแรกนี่ทุก 15 นาทีเลยมั้ง หนาวจริง) จนไล่มาทัน pacer 4.45 ได้ พยายามเกาะกลุ่มไปก่อนเก็บแรงไว้ มาถึงทางเลี้ยวแยกเข้าทางหลวงชนบทเป็นวัด มีหลวงพ่อมาคอยนั่งอาสนะพรมน้ำมนต์ให้เป็นสิริมงคลนักวิ่ง ทุกคนก็แวะเข้าไปรับได้กำลังใจเพิ่มกันไป จากจุดนี้เริ่มมีแสงสีทองจับขอบฟ้าแล้ว ค่อยๆมองเห็นภาพสองข้างทาง บรรยากาศดีๆ หมองจางๆ มีภูเขาเขียวๆเป็นฉากหลัง งานจอมบึงนี่นอกจากความสนุกจากสองข้างทางจะดีแล้ว วิวก็ไม่เลวเลยล่ะ พอเลยกม.ที่ 15 คุณภรรยาซึ่งปั่นจักรยานเล่นร่วมเส้นทางออกมาทีหลังตามมาทันช่วงนี้ เลยเริ่มมีรูปถ่ายประจวบเหมาะพอดี

ช่วงเกาะ Pacer 4.45

ช่างภาพส่วนตัวมาพร้อมพาหนะ

      -กม.ที่ 20-30 พอวิ่งเลยครึ่งเส้นทางของระยะฟูล จากทางที่ราบเรียบมาตลอดเริ่มเป็นทางโรลลิ่งขึ้นลงสั้นๆ ให้ได้ออกแรงเพิ่ม นักวิ่งบางคนเริ่มทำความเร็วตกลง ตอนนี้เวลาเลย 6 โมงเช้าเห็นรอบตัวชัดแล้ว มองไปตามทางข้างหน้าเห็นแนวถนนขึ้นๆลงๆไปจนพ้นโค้งสุดสายตา จนใกล้ถึงจุดกลับตัวที่ กม.25 เป็นเนินยาวๆ เห็นพี่ตูน Bodyslam วิ่งสวนลงมาใกล้ๆกลุ่ม Pacer 4.30 ประเมินกำลังตัวเองเสร็จน่าจะเร่งได้อีกหน่อย เลยตั้งใจว่าพอกลับตัวอีก 500 เมตรข้างหน้าจะค่อยๆเพิ่มความเร็วดู หลังจุดบริการน้ำดื่มหลังกลับตัวเริ่มเร่งมาโดยพยายามตามนักวิ่งข้างหน้าที่ความเร็วใกล้ๆกันเกาะมาอยู่ห่างๆ ได้ซัก 3 กม. เหนื่อยกว่าที่ตั้งใจไว้ ดูความเร็วจากนาฬิกาแล้วพบว่าวิ่งที่เพชห้าปลายๆ ซึ่งเร็วกว่าความเร็วระยะมาราธอนของตัวเอง แต่ใกล้ๆนี้ไม่มีใครที่ดูความเร็วแล้วใกล้เคียงพอจะตามไปด้วยเลย จำใจลองตามไปห่างๆต่อ ระหว่างทางมีจุดให้น้ำพิเศษที่คนในพื้นที่นำอาหารมาบริการหลายอย่างมาก เราเห็นขนมครกก็โฉบเข้าไปหยิบเข้าปาก (เพิ่งเคยเห็นงานวิ่งมีโจ๊กและอาหารหนักบริการนักวิ่งระหว่างทาง ชอบมาก) พอถึงจุดเลี้ยวกลับที่มีหลวงพ่อพรมน้ำมนต์ก็แวะเข้าห้องน้ำเพราะน่าเป็นเป็นจุดสุดท้ายที่มีรถห้องน้ำจอดอยู่ (สว่างมากแล้วไม่กล้ายืนแอ่นข้างทาง) แล้วกลับมาวิ่งเพซตัวเองประมาณหกต้นๆต่อไปตามทาง

จุดกลับตัวประมาณ กม. 25

บรรยากาศดีสุดๆ

     -กม.ที่ 30-เส้นชัย คงเพซหกนิดๆมาเรื่อยๆจนมาทันพี่ตูนที่จุดให้น้ำซักที่ (ไม่แน่ใจเรื่องระยะ เนื่องจากมีจุดให้น้ำที่ชาวท้องถิ่นมีน้ำใจมาตั้งเองเพิ่ม คือถ้าแวะกินทุกจุดนี่อิ่มน้ำแน่นอน) เลยวิ่งตามไปห่างๆอารมณ์ประมาณแอบตามคนที่ปลื้ม พบว่าพี่ตูนเป็นคนโฟกัสในการวิ่งมาก ดูรู้เลยว่าตั้งใจ แต่พอมีคนเข้ามาทักทายจะพยายามเป็นกันเองกับทุกคน แต่วิ่งไปคุยไปที่เกิน 35 กม.ไปแล้วคงจะกินแรงพอดู ความเร็วเลยไม่ค่อยคงที่ ทำให้วิ่งผ่านไปตอนกิโลที่ 38 ไปแล้วซึ่งถือเป็นช่วงสุดท้ายแล้ว (ทำให้งวดนี้ผ่านกิโลที่ 35 ไปได้แบบไม่ต้องเค้นมาก) พยายามคงความเร็วไปเรื่อย (มีแอบเร่งนิดๆตอนใกล้ช่างภาพ กลัวพี่ตูนตามมาทันเดียวจะไม่มีรูป 55+) สรุปว่าเข้าเส้นด้วยสภาพดี ที่เวลา 4.35 ชม. ได้ NEW PB ดีกว่าที่ตั้งใจไว้เป็นเรื่องที่ประทับใจอีกเรื่อง

แรงมาตอนถ่ายรูป

หน้าเส้นแล้ว

      เข้าเส้นแล้วพยายามเดินต่ออีกซักพัก แล้วไปวนเข้าจุดรับอาหารซึ่งที่นี่แยกชัดเจนตามระยะตั้งแต่ฟูล ฮาร์ฟ มินิ กลุ่มใครกลุ่มมัน ทำให้ไม่แออัด อาหารพอจนน่าจะเหลือสำหรับฟูล แวะยืดเหยียดริมกำแพงมีขาสั่นบ้าง แต่ก็ถือว่าสภาพไม่แย่ กินอาหารเข้า(รอบแรก) พอเหงื่อแห้งก็เดินไปรับเสื้อ Finisher ที่หอประชุมสุดทาง เอาเสื้อมาเปลี่ยนใส่เหมือนทุกทีเพราะวิ่งขนาดนี้เสื้อใส่วิ่งกลิ่นจะเน่าแล้ว (-..-) แวะไปรับอาหาร(รอบสอง) มาแบ่งกับกินกับคุณภรรยานิดหน่อย เดินเล่นดูของที่ขายน้านด้านนอกพอคลายกล้ามเนื้อ แล้วก็ขับรถเดินทางกลับแบบมีความสุข

ผลประกอบการ

 +งานจอมบึงน่าประทับใจเหมือนที่ใครๆบอกต่อกัน วิ่งไปเห็นความตั้งใจทีมผู้จัดงานทุกๆกิโลเมตร

+เด็กๆกองเชียร์เป็นสิ่งที่ทำให้งานนี้ไม่เหมือนใคร ถึงจะเคยเจอบ้างแต่ไม่เคยเยอะและใส่เต็มสนุกสนานกันขนาดนี้ ต้องทนง่วงทนยื่นเมื่อยกันหน่อยนะลูก

+น้ำใจและบทบาทของคนในพื้นที่ต่องานวิ่ง เหมือนเราไปร่วมงานประจำปีของชุมชนที่เต็มใจต้อนรับคนแปลกหน้า ซุ้มน้ำมากกว่างานไหนๆที่ออกมาตั้งกันหน้าบ้านตัวเอง มีซุ้มน้ำมนต์อีกต่างหาก และอีกครั้งเพิ่งเคยได้กินขนมครกตอนวิ่งจริงๆ

+ปัจจัยหลายอย่างเอื้อกับการมาวิ่งทำสถิติ อากาศที่เย็นในช่วงเวลาแข่งแทบทุกปี ถนนที่ทางราบมากกว่า 90% ความสนุกสนานสองข้างทาง ฯลฯ เป็นเรื่องธรรมดามากที่จะได้ NEW PB ที่สนามนี้


-ได้ยินว่าบรรยากาศค่อยๆเปลี่ยนจากคอนเซปงานวิ่งชาวบ้าน เป็นงานที่มีการบริหารจัดการเป็นระบบ ใช้รูปแบบสากลมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เอกลักษณ์บางอย่างค่อยๆหายไป เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เมื่อต้องบริหารจัดการงานที่มีผู้เข้าร่วมขนาดนี้ มองได้ว่าการมาเข้าร่วมของเราก็เป็นส่วนที่ทำให้งานค่อยๆเปลี่ยนไป ก็ได้แต่ให้กำลังใจผู้จัดงานว่าอยากให้มีงานวิ่งดีๆ มีเอกลักษณ์แบบนี้ยังคงอยู่ต่อไปนานๆ พยายามเข้านะครับ