แต่เดี๋ยวก่อน ในเมื่อมันที่เป็นที่รู้จักและชื่นชอบดีขนาดนี้
แถมช่วงนี้ Running
Boom
ด่านแรกที่ต้องผ่านให้ได้ก่อนจะเริ่มซ้อมระยะมาราธอนเสียอีกคือ...
สมัครให้ทันนะจ๊ะ เนื่องด้วยปีนี้ให้การรับสมัครออนไลน์ทั้งหมด(น่าจะปีแรก)
งานนี้จึงได้สถิติใหม่ไปครองเพิ่มเติม คือระยะมาราธอนเต็มเร็วที่สุดของงานวิ่งในประเทศ
ภายในวันครึ่ง (ฟลูมาราธอนนะครับ ไม่ใช่ระยะที่นึกจะวิ่งก็ออกไปวิ่งแน่นอน) ด้วยความตั้งใจหรือบุญที่ทำมาก็ดี
เมื่อเห็นคนพูดกันหนาหูเราก็เตรียมพร้อม เฝ้าหน้าคอมตั้งแต่สายๆ ก่อนจะพบว่า
ตัวเลขผู้สมัครรันอัดดับไปเร็วมาก ด้วยความสังหรใจ กดสมัครไว้ก่อนและกัน
ต่อมาระบบเริ่มล่มเพราะคนเข้าไปดูเวปเยอะมาก ก่อนจะพบว่าวันถัดมาก็เต็มแล้ว ปิดรับ
อ่า... ได้ไปแล้วเรา (แต่ชะล่าใจหาที่พักไม่ได้ต้องนอนในเมืองนะ -.-)
แล้วทำไรต่อ ก็ซ้อมสิครับ แต่ แต่ แต่ งานมีหลังกรุงเทพมาราธอน
2 เดือน ได้อานิสงค์มาหน่อย ไม่ต้องกลับไปเริ่มโปรแกรมใหม่แต่ต้น
ไปซ้ำเอาช่วงหนักสุดเลย ซึ่งมันก็เท่ากับพอฟื้นตัวต้องหาเวลาวิ่ง 30 km.+อีกอย่างน้อย 2
รอบ ยังไม่พอ เปรี้ยวไปลงงานว่ายน้ำข้ามเกาะเสม็ด
กว่าจะพร้อมซ้อมวิ่งก็เหลือเดือนเดียว ยังดีที่ผ่านตามตารางได้แม้จะด้วยความรู้สึกไม่สดเท่ากรุงเทพมาราธอน
แต่เอาน่ะ บุญเก่าน่าจะยังมี
สรุปเป็นสามเดือนสิ้นปีที่ซ้อมหนักสุดตั้งแต่มาออกกำลังกายจริงจังเลยทีเดียว
ราชบุรีก็มีที่เที่ยวสนุกๆอยู่นะ
วูบเดียวรู้สึกตัวอีกที่ ก้มหน้าหาที่เที่ยวในเขตจังหวัดเพชรบุรี เนื่องจากชวนคุณภรรยามาด้วยกัน
ถือเป็นการพักผ่อนแบบเที่ยวด้วยวิ่งด้วยไปในตัว (ประสบความสำเร็จดี
หวังว่าจะมีงานต่อๆไปเรื่อยๆ) วันเสาร์ที่ 16
เลยได้เที่ยวตามเส้นทางจากกรุงเทพไปจอมบึง ก่อนที่ค่ำๆจะแวะไปรับ BIB
ที่ม.ราชภัฏจอมบึง สถานที่ปล่อยตัว
บรรยากาศเมื่อมาถึงพบว่ามันไม่เหมือนงานไหนๆที่เคยไปมาก่อน
(วิ่งงานมาไม่เยอะเท่าไหร่) เป็นระบบ มีระเบียบ แต่จัดกันสบายๆ ผ่อนคลาย
มีตกแต่งไฟ เครื่องเสียง ได้ยินนักวิ่งที่เดินผ่านไปมาทักกันว่าคล้ายงานวัดดี
ส่วนตัวคิดว่าคล้ายๆงานประจำปีของชุมชนมากกว่า เดินไปหอประชุมรับ BIB ใช้เวลาแป๊บเดียว ออกมาเดินดูงาน Expo
ร้านเยอะอยู่แต่มาเย็นไปหรืออย่างไรของเริ่มเก็บๆสงสัยขายกันเกือบหมดแล้ว
ช้าไปหน่อย เช็คดูจุดปล่อยตัว จุดเข้าห้องน้ำ ฟ้าก็มืดแล้ว
กลับเข้าตัวเมืองราชบุรีไปหาข้าวกินและพักผ่อน
BIB 0444 ออกเบอร์ตอง
เข้าวันวิ่ง
เดินทางออกจากที่พักประมาณตี 2 นิดๆ
แวะรับน้องชายลูกพี่ลูกน้องที่มาเปิดมาราธอนแรกที่งานนี้ขึ้นรถไปด้วยกัน ตีสามก็มาถึงจุดจอดรถ
กินขนมปังนมถั่วเหลืองตามเวลาที่ตั้งใจไว้
ก่อนจะเดินไปจุดปล่อยตัวที่ห่างไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร บรรยากาศจุดปล่อยตัวคึกคัก
มีวงดนตรีพื้นบ้านมาเล่น มีพิธีกรคอยคุยเพิ่มความสนุกสนาน นักวิ่งมากันเยอะมากแล้วจากหลายๆระยะ
เนื่องจากจะมีการปิดถนนสำหรับขบวนเสด็จจากท่านที่มาร่วมวิ่งระยะฮาร์ฟ
ทำให้นักวิ่งเลือกออกมาที่จุดปล่อยตัวกันเร็ว
แยกย้ายกับน้องไปจุดปล่อยตัวที่อยู่แยกกันตามระยะเวลาที่คิดว่าจะวิ่งจบ
ประมาณตัวแล้วเลือกไปอยู่กลุ่ม C คือจบใน 5
ชม.เวลาครึ่งชั่วโมงก่อนปล่อยตัวผ่านไปเร็วมากครู่เดียวก็ตี 4 ได้เวลาปล่อยตัว
ตามเวลาแป๊ะ
รอปล่อยตัวตามกลุ่มเวลา
ออกตัวระยะมาราธอน 4.00 น.
-จุดปล่อยตัว – กม.ที่ 10 ออกตัวมาเริ่มวิ่งสบายๆ
ถือเป็นการวอร์มก่อนเพราะปกติถ้าไกลขนาดนี้จะไปใช้ช่วงแรกของการวิ่งวอร์มเลย
พ้นเขตม.ราชภัฏได้นิดเดียวพอเริ่มเข้าเขตตลาดก็เริ่มเห็นกลุ่มเด็กน้อยตัวแทนจากโรงเรียนต่างๆในอ.จอมบึงมาตั้งแถวเป็นกลุ่ม
ร้องเพลง ปรบมือ ยืนเชียร์และให้กำลังใจนักวิ่งตามทาง
เชื่อว่าทุกคนที่ผ่านจะรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ ”น่ารักมากกก” เป็นหนึ่งในสิ่งที่ทุกคนจะชมเวลามาวิ่งงานวิ่งที่จอมบึง
มันทำให้การออกตัวมาราธอนซึ่งปกติช่วงครึ่งแรกจะเป็นอะไรที่เงียบ มืด
ไปเรื่อยๆกลายเป็นบรรยากาศที่แตกต่าง
ภาพนักวิ่งหลายคนหยุดเล่นกับเด็กๆจากนี้ไปจะเห็นได้เกือบทุกจุดที่มีน้องๆมายืนเชียร์ยิ่งดูน่ารักเข้าไปใหญ่
พอผ่านกิโลที่ 6 ไล่มาทัน Pacer 5.00 แล้วค่อยๆแซงไปทีล่ะนิด
แล้วแสงไฟรอบตัวเริ่มมืดลงเนื่องจากผ่านเขตตลาดและชุมชนแล้ว
สองข้างทางวิ่งเริ่มเป็นทุ่งโล่ง นักวิ่งกระจายตัวกว่าช่วงปล่อยตัวที่เบียดกันมา
เริ่มมีลมพัดรวมถึงความชื้นทำให้อากาศเย็นลงเรื่อย ปัญหาแรกมาแล้ว ผมหนาว (-..-)
ใครจะไปเชื่ออากาศปกติของตอนนั้นเป็นช่วงเดือนมกราคมที่ไม่มีมวลอากาศเย็นพัดมา
ปกติก็ประมาณ 30 องศา แต่เช้ามืดวันนี้ มั่นใจว่ายี่สิบต้นๆ แน่นอน เหงื่อที่ซึมออกมาจนเสื้อเปียกแล้วกลายเป็นยิ่งทำให้เย็นรู้สึกได้ว่ากำลังจะสั่น
ปัญหาที่สองก็ตามมา พอหนาวแล้วก็ปวดฉี่บ่อย (-..-)
ยังพอมีปั้มข้างทางแต่การเข้า-ออกห้องน้ำครั้งนึงเสียเวลาเป็นนาที
จนในสิบกิโลแรกนี้ยังตาม Pacer 4.45 ไม่ทันซักทีเนี่ยสิ
สองข้างทางสนุกสนาน
ซักพักก็ออกมานอนชุมชน
-กม.ที่ 11-20 วิ่งออกห่างจากชุมชนมาเรื่อยๆ
สองข้างทางเป็นพื้นที่เกษตรกรรม นานๆจะเจอบ้านซักหลังกับกลุ่มน้องๆกองเชียร์ ที่จะอยู่ด้วยกัน
สังเกตได้โดยดูแสงจากหลอดไฟ เริ่มวิ่งทำความเร็วได้ตามเพซที่ตั้งใจ
และเปลี่ยนไปแวะหลบมุมต้นไม้ฉี่ข้างทางทำให้ไม่เสียเวลาเท่าเก่า (แต่ช่วงแรกนี่ทุก
15 นาทีเลยมั้ง หนาวจริง) จนไล่มาทัน pacer 4.45 ได้
พยายามเกาะกลุ่มไปก่อนเก็บแรงไว้ มาถึงทางเลี้ยวแยกเข้าทางหลวงชนบทเป็นวัด
มีหลวงพ่อมาคอยนั่งอาสนะพรมน้ำมนต์ให้เป็นสิริมงคลนักวิ่ง ทุกคนก็แวะเข้าไปรับได้กำลังใจเพิ่มกันไป
จากจุดนี้เริ่มมีแสงสีทองจับขอบฟ้าแล้ว ค่อยๆมองเห็นภาพสองข้างทาง บรรยากาศดีๆ
หมองจางๆ มีภูเขาเขียวๆเป็นฉากหลัง งานจอมบึงนี่นอกจากความสนุกจากสองข้างทางจะดีแล้ว
วิวก็ไม่เลวเลยล่ะ พอเลยกม.ที่ 15 คุณภรรยาซึ่งปั่นจักรยานเล่นร่วมเส้นทางออกมาทีหลังตามมาทันช่วงนี้
เลยเริ่มมีรูปถ่ายประจวบเหมาะพอดี
ช่วงเกาะ Pacer 4.45
ช่างภาพส่วนตัวมาพร้อมพาหนะ
-กม.ที่ 20-30 พอวิ่งเลยครึ่งเส้นทางของระยะฟูล จากทางที่ราบเรียบมาตลอดเริ่มเป็นทางโรลลิ่งขึ้นลงสั้นๆ
ให้ได้ออกแรงเพิ่ม นักวิ่งบางคนเริ่มทำความเร็วตกลง ตอนนี้เวลาเลย 6 โมงเช้าเห็นรอบตัวชัดแล้ว
มองไปตามทางข้างหน้าเห็นแนวถนนขึ้นๆลงๆไปจนพ้นโค้งสุดสายตา จนใกล้ถึงจุดกลับตัวที่
กม.25 เป็นเนินยาวๆ เห็นพี่ตูน Bodyslam วิ่งสวนลงมาใกล้ๆกลุ่ม Pacer 4.30 ประเมินกำลังตัวเองเสร็จน่าจะเร่งได้อีกหน่อย เลยตั้งใจว่าพอกลับตัวอีก
500 เมตรข้างหน้าจะค่อยๆเพิ่มความเร็วดู หลังจุดบริการน้ำดื่มหลังกลับตัวเริ่มเร่งมาโดยพยายามตามนักวิ่งข้างหน้าที่ความเร็วใกล้ๆกันเกาะมาอยู่ห่างๆ
ได้ซัก 3 กม. เหนื่อยกว่าที่ตั้งใจไว้ ดูความเร็วจากนาฬิกาแล้วพบว่าวิ่งที่เพชห้าปลายๆ
ซึ่งเร็วกว่าความเร็วระยะมาราธอนของตัวเอง แต่ใกล้ๆนี้ไม่มีใครที่ดูความเร็วแล้วใกล้เคียงพอจะตามไปด้วยเลย
จำใจลองตามไปห่างๆต่อ ระหว่างทางมีจุดให้น้ำพิเศษที่คนในพื้นที่นำอาหารมาบริการหลายอย่างมาก
เราเห็นขนมครกก็โฉบเข้าไปหยิบเข้าปาก
(เพิ่งเคยเห็นงานวิ่งมีโจ๊กและอาหารหนักบริการนักวิ่งระหว่างทาง ชอบมาก) พอถึงจุดเลี้ยวกลับที่มีหลวงพ่อพรมน้ำมนต์ก็แวะเข้าห้องน้ำเพราะน่าเป็นเป็นจุดสุดท้ายที่มีรถห้องน้ำจอดอยู่
(สว่างมากแล้วไม่กล้ายืนแอ่นข้างทาง)
แล้วกลับมาวิ่งเพซตัวเองประมาณหกต้นๆต่อไปตามทาง
จุดกลับตัวประมาณ กม. 25
บรรยากาศดีสุดๆ
-กม.ที่ 30-เส้นชัย
คงเพซหกนิดๆมาเรื่อยๆจนมาทันพี่ตูนที่จุดให้น้ำซักที่ (ไม่แน่ใจเรื่องระยะ
เนื่องจากมีจุดให้น้ำที่ชาวท้องถิ่นมีน้ำใจมาตั้งเองเพิ่ม
คือถ้าแวะกินทุกจุดนี่อิ่มน้ำแน่นอน) เลยวิ่งตามไปห่างๆอารมณ์ประมาณแอบตามคนที่ปลื้ม
พบว่าพี่ตูนเป็นคนโฟกัสในการวิ่งมาก ดูรู้เลยว่าตั้งใจ
แต่พอมีคนเข้ามาทักทายจะพยายามเป็นกันเองกับทุกคน แต่วิ่งไปคุยไปที่เกิน 35
กม.ไปแล้วคงจะกินแรงพอดู ความเร็วเลยไม่ค่อยคงที่ ทำให้วิ่งผ่านไปตอนกิโลที่ 38
ไปแล้วซึ่งถือเป็นช่วงสุดท้ายแล้ว (ทำให้งวดนี้ผ่านกิโลที่ 35 ไปได้แบบไม่ต้องเค้นมาก)
พยายามคงความเร็วไปเรื่อย (มีแอบเร่งนิดๆตอนใกล้ช่างภาพ
กลัวพี่ตูนตามมาทันเดียวจะไม่มีรูป 55+) สรุปว่าเข้าเส้นด้วยสภาพดี ที่เวลา 4.35 ชม.
ได้ NEW PB ดีกว่าที่ตั้งใจไว้เป็นเรื่องที่ประทับใจอีกเรื่อง
แรงมาตอนถ่ายรูป
หน้าเส้นแล้ว
เข้าเส้นแล้วพยายามเดินต่ออีกซักพัก
แล้วไปวนเข้าจุดรับอาหารซึ่งที่นี่แยกชัดเจนตามระยะตั้งแต่ฟูล ฮาร์ฟ มินิ
กลุ่มใครกลุ่มมัน ทำให้ไม่แออัด อาหารพอจนน่าจะเหลือสำหรับฟูล แวะยืดเหยียดริมกำแพงมีขาสั่นบ้าง
แต่ก็ถือว่าสภาพไม่แย่ กินอาหารเข้า(รอบแรก) พอเหงื่อแห้งก็เดินไปรับเสื้อ Finisher
ที่หอประชุมสุดทาง
เอาเสื้อมาเปลี่ยนใส่เหมือนทุกทีเพราะวิ่งขนาดนี้เสื้อใส่วิ่งกลิ่นจะเน่าแล้ว (-..-)
แวะไปรับอาหาร(รอบสอง) มาแบ่งกับกินกับคุณภรรยานิดหน่อย เดินเล่นดูของที่ขายน้านด้านนอกพอคลายกล้ามเนื้อ
แล้วก็ขับรถเดินทางกลับแบบมีความสุข
ผลประกอบการ
+งานจอมบึงน่าประทับใจเหมือนที่ใครๆบอกต่อกัน
วิ่งไปเห็นความตั้งใจทีมผู้จัดงานทุกๆกิโลเมตร
+เด็กๆกองเชียร์เป็นสิ่งที่ทำให้งานนี้ไม่เหมือนใคร
ถึงจะเคยเจอบ้างแต่ไม่เคยเยอะและใส่เต็มสนุกสนานกันขนาดนี้
ต้องทนง่วงทนยื่นเมื่อยกันหน่อยนะลูก
+น้ำใจและบทบาทของคนในพื้นที่ต่องานวิ่ง
เหมือนเราไปร่วมงานประจำปีของชุมชนที่เต็มใจต้อนรับคนแปลกหน้า ซุ้มน้ำมากกว่างานไหนๆที่ออกมาตั้งกันหน้าบ้านตัวเอง
มีซุ้มน้ำมนต์อีกต่างหาก และอีกครั้งเพิ่งเคยได้กินขนมครกตอนวิ่งจริงๆ
+ปัจจัยหลายอย่างเอื้อกับการมาวิ่งทำสถิติ
อากาศที่เย็นในช่วงเวลาแข่งแทบทุกปี ถนนที่ทางราบมากกว่า 90%
ความสนุกสนานสองข้างทาง ฯลฯ เป็นเรื่องธรรมดามากที่จะได้ NEW PB ที่สนามนี้
-ได้ยินว่าบรรยากาศค่อยๆเปลี่ยนจากคอนเซปงานวิ่งชาวบ้าน
เป็นงานที่มีการบริหารจัดการเป็นระบบ ใช้รูปแบบสากลมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้เอกลักษณ์บางอย่างค่อยๆหายไป
เป็นเรื่องที่เข้าใจได้เมื่อต้องบริหารจัดการงานที่มีผู้เข้าร่วมขนาดนี้
มองได้ว่าการมาเข้าร่วมของเราก็เป็นส่วนที่ทำให้งานค่อยๆเปลี่ยนไป
ก็ได้แต่ให้กำลังใจผู้จัดงานว่าอยากให้มีงานวิ่งดีๆ
มีเอกลักษณ์แบบนี้ยังคงอยู่ต่อไปนานๆ พยายามเข้านะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น