วันพฤหัสบดีที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2565

KHAOYAI 100K ULTRA MARATHON (2022)

 Khoayai 100K (2022) Race note & Review


“If you’re brave enough to start, You’re strong enough to finish”

Quote ของ VR เก็บระยะซ้อมก่อนงานเขาใหญ่100 อธิบายการเริ่มวิ่งอัลตร้าได้ดีมากๆ

VR 1,000 K /90 วัน ลังเลว่าไหวไหม แต่เอาจริงๆนี่คือระยะซ้อมขั้นต่ำ

เค้าคิดยังไงถึงไปวิ่ง 100k

(ถามตอนนี้ก็ยังคิดเหมือนเดิมว่าคนไปวิ่งเกิน 100 นี่ต้องมีอะไรไม่ปกติแน่ๆ ซึ่งก็ ...ใช่นะ)
ไม่มีเหตุผลอะไรให้ฟังดูเป็นแรงบัลดาลใจ เชื่อว่าเหมือนคนส่วนใหญ่คือก็แค่อยากลองซักครั้ง


ปี 2022 นี้อยากลองตั้งใจเน้นวิ่งดู (จากว่าย-ปั่น-วิ่งสลับๆกัน)
ครึ่งปีแรกก็ได้ PB ระยะมาตรฐานไปแล้วหมดแล้ว 10,21,42k ไกลสุดก็ไปเขาค้อ 45k พอใจกับตัวเองมากแล้ว เอ๊ะ มีคำถาม…แล้วเรายังไปได้ไกลกว่านี้ไหมนะ?  ลองหาระยะอัลตร้าลงดูซักงาน จะได้ตอบตัวเองได้ว่าชอบวิ่งระยะมาตรฐาน หรือแค่ไปไกลกว่านี้ไม่ไหว แล้วที่เห็นเค้าวิ่งกันไกลๆเนี่ย มันสนุกจริงเหรอ?


งั้นจะลองงานไหนดี งานอัลตร้าส่วนใหญ่เริ่มที่ระยะ 60k+ ขึ้นไป ถ้าจะวิ่งให้จบง่ายสุดก็น่าจะเลือกงานที่วิ่งวนๆในสวนสาธารณะ อย่างสวนพฤกษ์(เลื่อนๆๆ) สวนรถไฟ บึงแก่นนคร

แต่ด้วยความที่อาจจะวิ่งแค่ครั้งเดียว อยากลองไปงานที่คนพูดถึงมากที่สุดในช่วง 2 ปีนี้ คือ เขาใหญ่ 100 แถมยังคิดไปเองว่างานชื่อแบบนี้ เอาแค่ 60k มันก็แปลก 100k เลยแล้วกัน แน่นอนว่างานมันดัง การจะไปวิ่งได้แค่ซ้อมและมีค่าสมัครไม่พอ มันต้องมีดวง Lotto ด้วย ก็เลยสมัครไว้ก่อนแล้วกัน ไม่ได้ก็หางานอื่นลง ไม่รีบๆ (ซึ่งก็มาคิดว่าประโยค "สมัครไว้เลย ถ้าได้ Lotto คือโชคชะตาให้ไป เราก็ไปวิ่ง" ควรจะต้องเพลาๆแล้ว)


ยินดีด้วย อีก 5 เดือนต่อจากนี้ คุณจะต้องวิ่งเยอะที่สุดในช่วงชีวิต

สรุป timeline ไวๆ
July รับสมัคร-ประกาศผล Lotto ระยะ 100 ได้ทุกคนที่ผ่านเกณฑ์ Req.
(ขั้นต่ำเคยผ่าน 2ฟลูหรือ 1อัลตร้าภายในสองปี) หรือเราจะมีดวงเรื่องที่ต้องเหนื่อยนะ รู้ผลว่าได้วิ่งแน่แล้วก็เริ่มค่อยๆเพิ่มระยะ/ความชันในการซ้อม

Aug เริ่มแทรกการซ้อมแบบอัลตร้าเข้าไปคือวิ่งติดกัน Back to Back และหัดวิ่งสลับเดินทุก 2-3k ค่อยๆยืดระยะวันวิ่งยาว


Sep วิ่งยาวแบบเก็บชั่วโมง เน้น Time on Feet ปลายเดือนไป KU KPS Marathon


Oct  วันวิ่งยาว TOF เสาร์+อาทิตย์ 4+3 h. ปลายเดือนไป Bangsean42 (งานแข่งคือสัปดาห์พัก)


Nov วันวิ่งยาว TOF เสาร์+อาทิตย์ 5+4 h. พีคสุด 2 วันรวมกันต้อง 100K

(ไม่เคยคิดว่าจะวิ่งฟลูติดกันสองวันได้) เป็นช่วงที่ล้าและท้อที่สุด ถามตัวเองบ่อยมากกว่าทำไปทำไมน้อ จนหลังๆเริ่มทำใจได้ ถือว่าผ่านแบบคาบเส้น

Dec เทเปอร์แล้ว ดีใจ จัดของล่วงหน้า 3 วัน ของเยอะมาก เตรียมตัวไปงานวิ่งได้


ครั้งหนึ่งเคยจบมาราธอนบนลู่ไฟฟ้า และต้องวิ่งฟลูสองวันติด

ศุกร์ 16 ธค. คุณปู่/ย่ามารับเรา ก่อนไปรับตุ๊กตากับเตเตที่ลงเครื่องดอนเมืองตอนเที่ยง
มาช่วยกัน Support หลายคน จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะไปคนเดียว กลายเป็นทริปครอบครัว ^^ แวะเที่ยวระหว่างทาง เช็คอินที่พัก แล้วไปรับเบอร์ตอน 16.30 น. ตั้งใจไปตรงเวลาฟังบรีฟ ถึงโบนันซ่าเข้าเต้นท์รับ BIB ไวมาก มัวแต่ถ่ายรูปเล่น ลืมเข้าไปดู Expo ในอาคาร อดซื้อของที่ระลึก

"พรุ่งนี้ป๊าจะไปวิ่งเอาผ้าห่ม100มาให้เตเตนะ" เดี๋ยวสิแม่ ก่อนบอกลูกถามป๊าก่อน นี่ยังไม่รู้จะจบรึเปล่าเล๊ย

ค่ำใกล้เลิกรีบออกก่อนกลัวรถหนาแน่น กลับไปที่พักในตลาดปากช่อง กินข้าวเย็น จัดของเสร็จแล้วพยายามนอน งีบไปได้ไม่ถึงชั่วโมง (เป็นปกติ) ก็พยายามหลับตาพักไป นอนตุนมาเผื่อแล้วน่าจะไหว ตี 1 ลุกมาเตรียมตัว แล้วออกเดินทาง

ก่อนนอนมีคนมาช่วยเช็คอุปกรณ์ "อันนี้ขนมป๊าเหรอ"


เสาร์ 17 ธค. Raceday

มาถึงจุดปล่อยตัวก่อนเวลาประมาณ 45 นาที วันนี้ตุ๊กตายินดีมารอ Support ตลอดทั้งวัน เลยเป็นเวลาที่ได้นั่งกันคุยสบายๆ พร้อมยืดกล้ามเนื้อเบาๆ เป็นก่อนปล่อยตัวที่ผ่อนคลายมากเพราะเรารู้ว่าทำมาเต็มที่มาหลายเดือนแล้ว ขอมาวิ่ง 100k สุดท้ายให้มีความสุข แถมไม่ต้องรีบ เดินไปที่จุดปล่อยตัวก่อนเวลาไม่ถึง 10 นาที คนออกันนิดหน่อย แต่ไม่มาก นักวิ่งระยะร้อยมาวันนี้ 775 คน(จากตอนสมัครเกือบ 900)


บรรยากาศค่อนท้ายแถวปล่อยตัว พอคิดว่าทั้งหมดนี่วิ่งร้อยโลรู้สึกคนเยอะทันที


วันนี้เป้าหมายหลักมีอย่างเดียว ขอจบทันคัตออฟเป็น finisher รู้ตัวอยู่แล้วว่าจะต้องมีช่วงที่ต้องเดินยาวๆ อาจจะเจ็บ อาจจะงอแงงไม่อยากไปต่อแน่ๆ เพราะฉะนั้นอะไรที่ดีกว่านี้เราจะถือว่าเป็นกำไรทั้งหมด เราก็เดินไปรอปล่อยตัวท้ายๆแถว ใกล้ถึงเวลา กลุ่ม RD ออกมาอวยพร กล่าวอะไรสั้นๆให้รับรู้ถึงความตั้งใจของทั้งนักวิ่งและผู้จัด พอ 3.00 ก็ปล่อยตัวกันตรงตามเวลา โบกมือให้ตุ๊กตาหลังผ่านจุดปล่อยตัว แล้วก็ได้เริ่มต้นอีกหนึ่งวันที่ยาวนานที่สุดในชีวิต


เริ่มแล้วกิโลเมตรแรกของ 100K แรก

Race Start

Khaoyai 100k
Elevation gain 1,123 m.
Cut off 18 h.

อุปกรณ์บังคับ โทรศัพท์มือถือ ไฟส่องสว่าง ภาชนะใส่น้ำ 500 cc.

ถนนที่สว่างไปด้วยไฟคาดหัวนักวิ่งยาวต่อกันเป็นสาย เห็นได้ตลอดสเตจ 1

Stage 1  Start your impossible 22.5k (KM 0-22.5)


ออกจากโบนันซ่ารีสอร์ทวิ่งไปตามทางหลักซัก 500m.เริ่มเนินซึมเบาๆ KM 2 เริ่มแยกออกจากทางหลักแสงไฟถนนก็น้อยลงมาก จนต้องเปิดไฟฉายคาดหัว ออกแรงวิ่งด้วยความรู้สึกสบายๆไปเรื่อยๆ วันนี้อากาศเย็นกำลังดี เย็นสุดเท่าที่จะไม่ต้องใส่เสื้อกันหนาวตอนวิ่ง(ขี้หนาว)

ช่วง 10k แรกเป็นทางโรลลิ่งเบาๆยังแทบไม่รู้สึกถึงความชัน ทุกคนกล้ามเนื้อยังสดด้วย เมื่อมองอะไรข้างไม่เห็นอะไร นักวิ่งส่วนใหญ่ก็วิ่งกันไปเงียบๆ เกาะกันเป็นกลุ่มหลวมๆ
KM 5 Water staion (WS) จุดแรก จุดให้น้ำงานนี้จะเป็นเต๊นท์ขาว kiosk เล็กๆ จุดละ 1-2 เต้นท์ แต่ก็เพียงพอ แม้จะเป็นช่วงออกตัวที่คนออเยอะที่สุด (อาจเพราะเพซที่ไปไม่มีคนรีบ ค่อยๆถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน วันนี้ยังอีกยาว) แต่ละจุดจะมีน้ำดื่มขวดเล็ก และโพคาริขวดเล็ก ให้หยิบเป็นพื้นฐาน แล้วเพิ่มของกินง่าย เค๊กเอลเซ่ แตงโม กล้วย กล้วยตากซอง สลับกันไป WS งานนี้มีทุก 5K แต่ละจุดระยะเป๊ะมากๆ ทางวิ่งเป็นถนนสองเลนสภาพดี ค่อนข้างราบ ผ่าน 10k แรกอย่างค่อนข้างสบาย

KM 11 เริ่มเป็นเนินซึมขึ้นยาวอีกต่อเนื่องไป 11k จนจบสเตจ เนินไม่ชัน ทุกคนตอนนี้ยังจ๊อกขึ้นได้เรื่อยๆ แต่มันต่อเนื่องยาวนาน ตลอดชั่วโมงกว่า

KM 16 ข้างหน้ามีคนชะลอหยุดวิ่ง ออกันนิดหน่อย เพราะเป็นจุดที่ต้องวิ่งผ่านฝายระบายน้ำเล็กๆ เลือกได้ว่าจะค่อยๆแล้วอาจจะรองเท้าเปียกจนวิ่งไม่สนุก หรือจะรีบวิ่งผ่านไปแต่เสี่ยงลื่นล้ม แบบที่มีคนล้มไปข้างหน้า (ซึ่งก็ลื่นเล็กๆด้วย เกือบไป)


KM 18 เริ่มได้ยินเสียงพิธีกรประกาศต้อนรับดังมากจาก Center station (CS) ให้ความรู้สึกว่าอีกไม่ไกล แต่ก็ต้องไปอีกเป็นครึ่งชั่วโมง อาจเพราะสองข้างทางเป็นที่โล่ง ถนนช่วงนี้พังเยอะ มีบางช่วงมืดมากนักวิ่งบางคนตกหลุมเท้าพลิก (ไม่เปิดไฟที่หัวเองด้วย) ยังคงจ๊อกได้เรื่อยๆ จนช่วงท้ายความชันเพิ่มขึ้นจนเริ่มหอบหายใจก็เลือกลดความเร็วลง โทรหาตุ๊กตาบอกว่าใกล้แล้ว ถามเมนูแล้วบอกว่าเตรียมหยิบอาหารมารอไว้ให้ที

ช่วงไต่เนินยาวท้ายสเตจ 1 บางทีเงาต้นไม้ก็บังหลุมที่พื้น

KM 22 ก่อนเข้า CS ผู้นำของระยะ 60k ซึ่งปล่อยตัวทีหลัง 1 ชม.ก็วิ่งขึ้นเนินแซงไป เราปรบมือเชียร์แล้วก็เพิ่มความเร็วขึ้นนิดหน่อย ก่อนเลี้ยวตามเข้าไปยัง CS จบสเตจแรกใกล้เคียงกับที่คาดที่เวลา 2.40 ชม.

Center Station รอบ 1
วิ่งเข้ามาในโรงเรียนบ้านหนองขวาง เจอกลุ่มเต้นท์ขาวขนาดใหญ่เรียงรายกัน ยาวเต็มสนามฟุตบอล เลี้ยวผ่านโต๊ะที่เตรียมไว้นั่งทานอาหาร เจอตุ๊กตารออยู่พร้อมข้าวต้มและชุดอุปกรณ์ drop bag สำหรับคนที่มี supporter ถ้าติดเบอร์แล้ว จะให้ช่วยเบิกมาไว้รอก่อนได้ มื้อเช้ามีข้าวต้ม และห่อข้าวเหนียวหมู นั่งกินข้าวต้มพร้อมจัดของที่เตรียมไว้สำหรับสเตจต่อไป เก็บไฟคาดหัว เติมของกินระหว่างทางเพิ่ม เสียง RD ประกาศบอกให้รีบออก บริหารเวลาดีๆ อย่าพักนานเดี๋ยวเครื่องดับ เข้าใจว่าเพื่อให้คนมาใหม่มีที่นั่งและเป็นจิตวิทยากลัวนั่งคุยกันนานไป กินเสร็จยืดเหยียดนิดนึง ใส่ปลอกแขนกันแแดดรอ หยิบ gopro ใส่กระเป๋า ล่ำลาแล้วจ๊อกไปแวะเข้าห้องน้ำ ก่อนออกไปสเตจสอง ยังอยู่ในเวลาที่คาดไว้ รวมไม่เกิน 3 ชม.


เริ่มเข้าสเตจสอง เริ่มเส้นทางของจริง


Stage 2 Khaoyai paradise 29.5k (KM 22.5-52) 


KM 23 วิ่งออกจากโรงเรียนเกือบ 6 โมงเช้า ฟ้ายังไม่สว่าง แต่เห็นแสงเทาๆแล้ว ออกมาได้กิโลเดียวทางเริ่มเป็นโรลลิ่งเต็มรูปแบบ มีแต่ไม่ขึ้นเนินก็ลงเนิน ช่วงต้นนี่ยังสั้นๆ วิ่งเบาได้ตลอด พอมีแสงก็เริ่มมองเห็นวิวข้างทาง เป็นต้นสนสลับเนินเขา มองไปได้ไกลๆ ก็สวยสมกับที่ผู้จัดบอกไว้

KM 25 จุดนี้ได้สวนกับผู้นำที่กำลังจะจบสเตจ 2 เป็นน้องซอเช่นเคย แล้วตามมาด้วยพี่ปูที่เพิ่งลงอัลตร้าแรก แต่ไล่มาระยะห่างกันแค่ 50 ม. ดูน่าจะเชียร์ได้สนุกมากๆ ทุกคนตบมือส่งเสียงเชียร์กันไปถึงนักวิ่งคนที่สิบกว่าๆได้ วิ่งเพลินๆกันไปได้แป๊บเดียว

KM 24 มีเขาชันยาว เริ่มต้องเดินขึ้นเพื่อเซฟขา ทางยังอีกไกลมาก พ้นมาได้ก็กลับมาโรลลิ่งเรื่อยๆ ก็ใช้แผนวิ่งสลับเดินตามที่ซ้อมมา ตั้งใจเดินทุก 2k แต่การที่มีเนินให้เดินขึ้นตลอดก็ต้องปรับแผนเป็นขึ้นเนินชันก็จะเดิน ถ้าไม่ชันหรือทางลงก็วิ่งคืนเอา รักษาความเร็วไปได้เรื่อยๆอยู่


KM 30 ทางวิ่งก็ออกจากโซนเนินเขา เข้าสู่ไร่และพื้นที่โล่งสลับรีสอร์ท ถนนกว้างขึ้น จากที่แทบไม่มีรถวิ่งก็จะพบรถสวนกันไปมา แต่มีไหล่ทางให้นักวิ่งใช้ไปตลอด จุดนี้นักวิ่งเริ่มกระจายเว้นระยะกัน ทางความชันน้อยช่วงสั้นๆ ส่วนใหญ่จะวิ่งแซงสลับกันไปมากับคนใกล้ๆ อยู่ที่ว่าใครลงเร็ว ใครขึ้นเร็ว (ได้รู้ว่าตัวเองเป็นสายไหลลงเร็วแต่อืดตอนขึ้น)



เริ่มได้ทักนักวิ่งคนอื่น ขอแซงมั่งก่อนจะไปโดยเค้าแซงคืนมั่ง สเตจนี้เนื่องจากช่วงกลางๆจะวิ่งไปลูป เลยยังไม่มีกลับตัว จะไปสวนกันอีกทีก็กลับเข้าเส้นต้นสนอีกรอบ



KM 35+ เริ่มล้าพอๆกับวิ่งมาราธอน แต่ยังไม่มีวิ่งได้โดยปัญหาอะไรจนถึง

KM 42 ครบระยะมาราธอน ทางงานตั้งหลักกิโลไว้เป็นแลนด์มาร์ก

ให้นักวิ่งแวะถ่ายรูปกับช่างภาพ (ตาม Lake Saloma งานต้นแบบ)

ผ่านช่วงรีสอร์ทไป พอกลับเป็นโรลลิ่งชันคราวนี้ เนินที่เคยจ๊อกขึ้นได้เริ่มต้องเดินเป็นบางเนิน

ยังดีที่นอกนั้นยังรักษาการวิ่งไว้ได้อยู่


ปกติต้องรับเหรียญ รับเสื้อ กลับไปนอนต่อแล้วนะ นี่ยังไม่ครึ่งทางเลย


KM 45 เป็นจุดกลับตัวของระยะ 60 เจอนักวิ่งคนท้ายๆของระยะนั้น

เป็นสุภาพสตรีสองคนเดินตามกันมาไม่ห่าง(ดูจากจักรยาน sweeper ตามประกบ)

ทุกคนก็ส่งเสียงเชียร์อีก ยังดูดีกันอยู่ ส่งใจให้ทันคัตออฟไปเรื่อยๆ


KM 50 เข้าใจว่าเหลืออีก 7k  โทรไปบอกตุ๊กตาล่วงหน้าว่า อีกชั่วโมงน่าจะถึงตามแผน พอดีกับตุ๊กตาขับรถไปรับปู่ย่าเต จะแวะมาให้กำลังใจ แต่พอถึง


KM 52 ออกถนนใหญ่กำลังจะเข้า CS ตกใจ เอ่า ยังไม่ถึง 57k นี่น่า สรุปอ่านรายละเอียดมาผิด ทำให้วางแผนผิด ก็ต้องทำใจยอมรับ คอตกจ๊อกเข้า CS ไป


Center Station รอบ 2

ผิดแผนเลยต้องปรับมาดูแลตัวเอง เดินไปรับ Drop back ดีที่บอกให้ฝากไว้ตลอดถ้าไม่อยู่ เผื่อฉุกเฉินจะได้มาเบิกเอง ก็สะดวกและการจัดการดี ปีนี้เริ่มให้อุปกรณ์ใส่ถุงของงานเอง ได้ยินว่าเปลี่ยนเพราะปีก่อนมีคนเอากระเป๋าเดินทางล้อลากมาฝาก ของเยอะมาก ยอมใจ


เดินไปรับอาหาร ตอนนี้ประมาณ 9 โมงครึ่ง ยังเป็นอาหารเช้าชุดเดิมบริการ เลือกข้าวต้มเหมือนเดิมเพราะกินได้ดีไม่มีปัญหา แต่คราวนี้รสชาติเปลี่ยน หวานขึ้นมาก สงสัยห่วงนักวิ่งน้ำตาลไม่พอ นั่งกินคนเดียวพร้อมกับเตรียมของสเตจต่อไป มีพี่ที่มาคนเดียวมานั่งร่วมโต๊ะก็เลยได้คุยกันเล็กน้อย 100 แรกเหมือนกันก็ผลัดกันให้กำลังใจ คุ้นๆว่าก็ผลัดกันแซงไปมาอยู่ช่วงนึง ถ้าไม่มีใครหมดก่อน เดี๋ยวก็คงได้เจอกันอีกเรื่อยๆ กินเสร็จเอาของไปฝากคืน ใช้เวลาใน CS เร็วกว่าครั้งแรก สงสัยเพราะไม่รู้จะอ้อยอิ่งทำไมบวกเครื่องกำลังติด โทรเช็คกันก่อนออก มาถึงกันพอดี เลยได้เดินไปเจอกันทางออกโรงเรียน แวะถ่ายรูป คุยเล่นกันแป๊บนึงก็ขอตัวไปต่อ ใช้เวลารวมๆไปแค่ 15 นาที ยังได้ตามที่คิดไว้อยู่



Stage 3 Khaoyai panorama 25k (KM 52-77)


KM 52 เข้าสเตจสามได้วิ่งมาอีกลูปใหม่ วิวเปลี่ยนเป็นมุมกว้าง มองไปได้ไกลๆ ไต่เนินที่ค่อยๆชันขึ้นได้ 3k ถนนลาดยางก็หายไป กลายเป็นทางดินเกรดใหม่ มีหินลอยให้ขรุขระเท้าบ้าง แต่ไม่เท่าปีก่อนๆที่ดูวีดีโอเส้นทางมา ก็พยายามหาไลน์ที่หินน้อยเหยียบ กลัววิ่งไปนานๆจะปวดฝ่าเท้ารองช้ำจะมา อดวิ่งต่อแน่ ช่วงนี้ลงเนินยาวแต่ไม่มีใครเร่งความเร็วกันคงเริ่มเหนื่อยกันบวกกลัวรองเท้าและฝ่าเท้าพัง



KM 58 ก็ได้กลับมาวิ่งโรลลิ่งถนนลาดยางอีกครั้ง สายแล้วแต่โชคดีมากไม่มีแดดเลย อากาศก็ไปในทางเย็นสบาย ยังคิดเล่นๆว่า สบายกว่าปีก่อนๆขนาดนี้ ถ้าไม่จบปีนี้ ปีอื่นก็อย่าหวังจะทำได้

KM60 เป็นถนนสองเล่นที่เส้นทางได้สวนกัน เป็นช่วงที่สนุกมาก เริ่มมีไอแดดแรงเพราะใกล้เที่ยง นักวิ่งที่สวนกันพูดให้กำลังใจฝั่งตรงข้ามเป็นระยะตลอดทาง ไม่ต้องรู้จักก็ตะโกนเชียร์กันได้ ก่อนกลับตัวจะเป็นขาขึ้นเยอะก็เหนื่อยกว่าหน่อย มีสปอยทางล่วงหน้าและจุดกลับตัวเรื่อยๆ พอรู้ว่ากลับตัวตรงไหนก็ได้นับถอยหลัง แล้วยิ่งใกล้จุดกลับตัวเนินก็ยิ่งชันขึ้นเรื่อยๆ แล้วจุดกลับตัวก็ไปอยู่ในจุดสูงที่สุดของเนินที่ชันสุดในสเตจ โห นี่คนวางเส้นทางคิดไว้ก่อนแล้วใช่ไหมเนื่ย



KM 63.5 กลับตัวที่นี้ก็สบายขึ้นหลังจากที่ขึ้นเป็นหลักมานาน คราวนี้ก็ลงเนินแทน เข้าใจเลยว่าทำไมเสียงเชียร์จากขากลับเยอะ มันสบายจนอยากให้รีบๆมากลับตัวกัน วิ่งสวนแดดจนเป็นช่วงเดียวที่รู้สึกจำเป็นต้องใส่แว่นกันแดด ขาลงก็เป็นฝ่ายให้กำลังใจนักวิ่งขาขึ้นบ้าง จนพ้นช่วงทางสวนกันก็กลับมาเงียบสงบตอน KM68 หลายๆคนเริ่มเปลี่ยนไปเดินนานๆกันแล้วตามความล้าที่สะสมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็ยังพยายามจะวิ่งได้ในทางที่ไม่ใช่ขาขึ้น ตอนนี้เลยระยะซ้อมในหนึ่งวันมาแล้ว ขาก็เริ่มไม่สดซึ่งเป็นไปตามที่คาดไว้ แต่กำลังใจยังดีเหมือนพอมันผ่านระยะทางมาเกิน ⅔ มันก็มีความหวังเรื่องน่าจะจบได้เข้ามาค่อยให้กำลังใจตัวเองเรื่อยๆ แล้วก็ดีที่ขากลับไปอีกทางไม่ต้องกลับมาขึ้นเขาทางดินให้ลำบาก วิ่งเคาะมาเรื่อยๆก็พาตัวเองกลับมาถนนใหญ่ได้ กลับเข้า CS อีกครั้ง ตอนบ่ายโมงครึ่ง


เข้า CS รอบที่สาม เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว

Center Station รอบ 3

คราวนี้ตุ๊กตามารอถ่ายวีดีโอแล้วโบกมือเรียกให้มาที่โต๊ะเพื่อพักกินข้าว ตามที่ก่อนหน้านี้ 10 นาทีโทรคุยกันเรื่องเมนู เลือกข้าวไข่พะโล้แทนมาม่า เหตุผลคือถ้าต้องอ๊วก มาม่าน่าจะดูแย่กว่า(หือ?) แต่กลับรู้สึกกินไม่ลง ทั้งที่ก่อนหน้านี้กิน Solid food ได้ตลอดไม่มีปัญหา แล้วยังไปเลือกกินไอติมรสที่ผสมกะทิ พอหมดมื้อเริ่มรู้สึกแปลกๆที่ในท้อง แต่ตอนนั้นยังไม่นึกอะไร คิดว่าแค่เหนื่อยกินไม่ลง

ใจตอนนั้นมันไปอยู่ที่การพาตัวเองผ่านสเตจสุดท้ายให้ได้เท่านั้น แถมพิธีกรในงานก็บิลด์อยู่ตลอดว่า ถ้าจบ stage 3 ได้นี่แทบจะจบแน่ๆ เราก็เลยเอาแต่มองไปข้างหน้า จนลืมว่านี่เข้าสู่ช่วงเวลาที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เพราะไม่เคยวิ่งไกลขนาดนี้มาก่อน ทุกกิโลเมตรจากนี้คือโลกที่ไม่เคยก้าวเข้ามาแล้ว ก็ได้แต่เปี่ยมกำลังใจ จัดของ ล้างหน้า เปลี่ยนเสื้อให้รู้สึกสดชื่น พยายามเอาของไม่จำเป็นออกอยากทำตัวเบาๆ (นี่ก็จุดเปลี่ยน เอาเจลออกเกือบหมด) ลาตุ๊กตากันเป็นรอบสุดท้าย บอกว่าเจอกันที่เส้นชัยนะ จะพยายามไปถึงให้ได้ ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว แล้วก็เดินออกจาก CS มาก่อนเวลาบ่ายสอง


เดินเลือกเพลงฟังตอนออก CS ยังไม่รู้ตัวว่าต่อไปแทบจะวิ่งไม่ได้แล้ว


Stage 4 One pride day 23k (KM 77-100)


“ร้อยโลของจริง เริ่มหลังกิโลที่ 70” เป็นข้อความที่ผ่านตาบ่อยมาก แล้วก็ได้เจอกับตัวจังๆ พอผ่านมาได้ถึงKM77 ก็ยังคิดว่าโอเคแล้ว เปล่าเลยมันแค่ต่อเวลาให้อีกหน่อยเฉยๆ เพราะทันทีที่ออกมาสเตจ 4 อยู่ดีๆก็วิ่งไม่ออก กลายเป็นเริ่มเดินยาวขึ้นเรื่อยๆ ช่วงแรกยังพอสลับไปจ๊อกได้ แต่พอเริ่มเข้าเขตทางโรลลิ่ง คราวนี้แทบไม่ได้วิ่งเลยด้วยซ้ำ แถมปัญหาใหม่รู้สึกอาหารไม่ย่อยท้องอืดมาก ลมออกตลอดเวลา กินอะไรเพิ่มแทบไม่ได้ ข้าวเหนียวหมูที่เคยอร่อยเมื่อเช้า กินได้ 3 คำต้องยอมทิ้ง เกลือแร่ก็กินไม่ไหว หลังจากที่กินมาเป็นสิบชัวโมงแล้วรู้สึกหวานเลี่ยนจนอยากอาเจียน คือเข้าใจว่ามันเป็นอาการที่ใช้ร่างกายหนักมากจนเลือดไม่ไปเลี้ยงกะเพาะ ก็พอรู้มาบ้างแต่ตอนนั้นเหมือนลืมไปหมด แล้วทุกอย่างก็มารุมพร้อมกันที่ภูเขาลูกสุดท้าย


หรือไปเททิ้งกลางทางเยอะเกิน(ลดน้ำหนักแบก) จนโดน Pocari ลงโทษ

KM 82 ในที่สุดก็ชนกำแพงบนเขาลูกที่ชันที่สุด รู้สึกทรมานเป็นครั้งแรกใน race ตอนนี้ต้องใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อจะแค่เดินขึ้นเขาช้าๆให้ผ่านไปให้ได้ เอาแต่ก้มหน้าอ่าน Gain ที่พิมพ์ใน BIB ว่าต้องเดินไปอีกแค่ไหน มันจะไปจบตอนไหน ถือเป็นห้วงเวลาที่คุยอะไรกับตัวเอง(ทะเลาะเลยเหอะ)ในหัวรุนแรงที่สุดแล้ว

KM 85 หลังอดทนจนผ่านยอดเขามาได้ คราวนี้ถึงทางลงซักที แต่ตอนนี้ด้วยความล้าและหมดแรง ทุกครั้งที่วิ่งลงจะเจ็บใต้หัวเข่า ก็เลยทำได้แค่เดินลง กลายเป็นช่วง 80-90k เดินแทบตลอดทาง เลิกนับกิโลเมตรถอยหลัง เพราะมันดูห่างไกล เปลี่ยนมาคิดว่าพยายามเดินให้ครบกิโลไปเรื่อยๆเพื่อจะอยู่รอดต่อไปใน Race ให้ได้ เป็นช่วงที่คนที่เผื่อแรงมาดีจะแซงไปหมด เหลือแต่นักวิ่งที่หมดแรงเดินกันยาวๆ ซึ่งก็ไม่ต้องกลัวเหงา มีเยอะมาก ให้ใจชื้นว่าไม่ต้องตกใจ คนส่วนใหญ่ก็หมดแรงกันแล้ว แต่ยังกำลังใจดีกัน เดินพาตัวเองไปทีละกิโลต่อไปเรื่อยๆ  


เดินเม้มปาก กัดกราม กำหมัดไป ในขณะที่ความคิดลบหลายอย่างตีกันอยู่ในหัว

KM90 กินอะไรไม่ลงมาร่วม 2 ชั่วโมงแล้ว กลัวเรื่องเดียวที่จะทำให้ไปได้ไม่จบ

คือพลังงานในร่างกายหมดจนต้องลงไปกองกับพื้น (ซึ่งมีคนเป็นจริงๆ) หยิบสตอเบอรี่ที่เป็นไฮไลต์ของ WS 90k มากิน ดีที่พอกลืนผลไม้ได้

อยากลองกินเจลดูอย่างน้อยก็บีบเข้าปากแล้วกลืนน้ำตามน่าจะได้ ปรากฎมีเหลือติดตัวซองเดียว พลาดมากที่ CS ไม่น่าเอาออกหมดเลย พกมาแต่ของที่ตอนนี้กลืนไม่ลง เลยยอมเก็บเจลไว้กินที่ 5k สุดท้าย เผื่อว่าจะได้มีแรงฟื้นตอนเข้าเส้นเหมือนงานวิ่งก่อนๆ คำนวณเวลาต่อให้เดินก็ยังถึงเส้นตามเวลานัดหมายที่ 18.00น. แต่นั่นคือต้องเดินได้ตลอดนะ  ซึ่งก็ไม่แน่ใจแล้วว่าจะทำได้รึเปล่า


KM95 ก้มหน้าก้มตาเดินมาจนมาถึงสถานีสุดท้ายที่ อยากลองเข้าห้องน้ำไม่ได้ปวดแบบอยากถ่ายท้อง แต่รู้สึกว่าถ้าได้ระบายลมจากระบบย่อยอาหารออกมาบ้างน่าจะดีขึ้น แต่ระหว่างทางไม่มีห้องน้ำเลย ได้แต่นั่งเก้าอี้พัก กินเจลซองสุดท้าย ทำสมาธิ ตอนนี้ 17.00 ปลอบตัวเองขอแค่เดินไหว เดินก็ยังไปทัน แล้วถึงไม่ทันก็คงไม่เป็นไร gap cutoff ยังเหลือสองชัวโมง ขอแค่พาตัวเองไปให้ถึงครอบครัวรออยู่ที่เส้นให้ได้ก็พอ ตอนนี้ขอแค่นี้ ลุกขึ้นมา ตั้งใจจะเดินยาวๆไม่พักอีกแล้ว

KM 97 โชคดีในโชคร้ายเจอปั้มน้ำมันที่ปิดแล้ว เดินเข้าไปขอใช้ห้องน้ำ กลับออกมาคราวนี้พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า อากาศเย็นขึ้นเกือบหนาว รู้สึกสบายที่ท้องขึ้น ประกอบกับเจลที่กินไปส่งผลหรืออะไรก็แล้วแต่ เริ่มกลับมาจ๊อกเบาๆได้ กำลังใจเริ่มกลับมา ยังสลับพักเดินบ้างจนช่วงกิโลสุดท้าย ตัดเข้าถนนไปโบนันซ่า ตอนนี้วิ่งได้ยาวๆตามเสียงที่ดังมาจากเส้นชัยเหมือนเป็นกำลังใจ หลายๆคนก็กลับมาวิ่งกันได้ตอนนี้ Magic moment ของอัลตร้าแบบนึงแน่ๆ แสดงความยินดีกับนักวิ่งที่วิ่งมากันข้างๆ ถึงเค้าจะดูงงๆ แต่ก็ตอบรับดี มันเป็นช่วงเวลาน่ายินดีของทุกคนแหละ ไม่ว่าจะจบมาแล้วกันกี่ครั้ง

ก่อนจะเข้าเส้นก็มองหาตุ๊กตากับเตเพราะตั้งใจว่าถ้าจบได้จะจูงมือวิ่งเข้าไปด้วยกัน ทุกคนมารอกันแล้ว ตะโกนเรียกหากัน แล้วก็จูงมือกันไปอีกใน 30 เมตรสุดท้าย

มันจะเป็น 1 นาทีสุดท้ายจาก 885 นาทีตลอดทั้งวันที่ผ่านมา ที่จะยังคงจำมันได้อีกนาน แล้วเราสามคนก็จูงมือกันวิ่งเข้าเส้นไป เย่



ผ่านเส้นชัยตอนเวลา 17.45น. ใช้เวลาร้อยแรกไป 14.45 h. รับเหรียญหินทรายที่เห็นแต่ในรูปมานาน (สวย) หันกลับไปทางซุ้มประตู โค้งขอบคุณทุกคน/ทุกสิ่งอย่างที่ช่วยให้เราผ่านทุกกิโลเมตรมาได้ อยู่รอดปลอดภัยจนกลับมาถึงเส้นชัยได้ในที่สุด



แวะไปรับผ้าห่ม Finisher ตุ๊กตาไปรับอาหารให้ เรากับเตเดินกลับไปหาคุณปู่ย่าที่รออยู่ ก่อนจะนั่งรถกลับไปหาข้าวเย็นกินกันใกล้ที่พัก แล้วก็หมดแรง จัดที่นอน ล้มตัวลง ภาพตัด นอนยาวๆตื่นมาสายๆอีกวัน ปวดเมื่อยเป็นปกติเยอะจบมาราธอนครั้งแรกหน่อย แต่ไม่ได้บาดเจ็บส่วนไหน สายๆก็แวะให้เตเที่ยวได้อีกนิดหน่อย แล้วเดินทางกลับ




Note ถึง Khaoyai 100


  • งานร้อยโลถนนในไทยที่น่าจะ POP ที่สุดแล้ว มันดีจริงนะ ประทับใจ 

  • ที่ดีเนี่ยไม่ใช่ว่าแจกของไม่อั้น ของกินเพียบ กั้นถนนได้100% สนุกกองเชียร์เยอะ หรืออะไรแบบที่คนอยากได้ในงานแข่ง แทบไม่ใช่แบบนั้นเลยด้วย แต่เป็นงานที่เห็นความใส่ใจของคนจัดงานได้ตลอดเวลาตั้งแต่มาสัมผัส อะไรที่จำเป็นสำหรับนักวิ่งในการพาตัวเองไปจนจบร้อยกิโล เค้าจะทำให้ เตรียมให้พร้อม มีตั้งแต่น่ารักๆดีเทลจุ๊กๆจิ๊กๆ หรือแม้กระทั่งไซโคนักวิ่งให้รีบออกจาก CS เมื่อเห็นว่าคุณชิลไปเค้าก็จะทำให้ 55+

  • คนมาร้อยแรกงานนี้เยอะมาก ทักใครที่วิ่งความเร็วใกล้กันนี่คือร้อยแรกเกือบหมดเลย 

  • ก็เชียร์ว่าถ้าอยากมาร้อยแรกให้สนุก หรือทีเดียว มางานนี้น่าจะสนุกและประทับใจได้แน่ๆ

  • แต่ไม่ใช่สนามง่ายนะ ทางโรลลิ่งเกือบหมด แทบไม่มีทางราบนอกจากสิบโลสุดท้าย (ซึ่งหมดแรงไปแล้ว) 

  • นึกถึงตอนวิ่ง BS42 ครั้งแรกตรงที่ประทับใจ งานดีมาก อยากมางานผู้จัดเจ้านี้อีก พอๆกับที่อยากเสียสละ slot ให้หน้าใหม่ได้มีโอกาสมาลองซักครั้ง แต่งานนี้ประทับใจกว่าอีกนะ โดยเฉพาะตอนเข้าเส้น คุณไปจูงมือครอบครัวเข้าด้วยตอนวิ่งมาราธอนไม่ได้ใช่ไหมล่า 55+

  • วิ่งร้อยโลไปคนเดียวได้ไหม ก่อนหน้านี้คิดว่าต้องได้สิ แต่ตอนนี้วิ่งจบแล้วขอตอบได้ว่าก็พอได้อยู่ แต่ถ้ามีคนคอยซัพพอร์ต กับหางานที่พร้อมช่วยนักวิ่งจะง่ายกว่ามากๆๆ เลยนะ

  • 100k ยังเกินความสามารถตอนนี้ไปเยอะ วันนี้ผ่านมาได้เพราะโชคจริงๆ โชคดี ที่เขาใหญ่ปีนี้อากาศดีสุดตั้งแต่มีการจัดมา โชคดี ที่ไปชนกำแพงหลังวิ่งเข้า Stage 4 แล้ว ถ้ามาก่อนซัก 10k นี่คือถอดใจ โชคดี ที่ได้รับการสนับสนุนมากกว่าที่คาดไว้เยอะ ทั้งจากครอบครัวและจากตัวงาน

  • อัลตร้าอีกไหม ผ่านมาหลายวันแล้วก็ยังไม่นึกอยากไปนะ ยังซึมซับหลายๆอย่างอยู่เลย เหมือนความคิดยังฟุ้งอยู่คงต้องรอตกตะกอนอีกพักนึง (อมยิ้มคนเดียวสลับปลงชีวิตก็บ่อย)

  • แต่ค่อนข้างมีความสุขที่ได้ Off-season ซักที รอมานานหลายเดือน ^^

  • คงไม่เชียร์ใครว่าต้องไปวิ่งอัลตร้า มันไม่ได้เหมาะกับทุกคน แต่ถ้าพร้อมทั้งร่างกาย เวลา ทุน แล้วตอบตัวเองได้แน่ๆว่าทำไมต้องไปวิ่ง (ซึ่งจะได้ถามตัวเองแน่ๆในการซ้อมที่ยาวนาน แม้แต่วันงานก็ยังถามเลย) 

  • ถ้ามีคำตอบแล้ว มาลองดูสิ ไม่เสียใจหรอกที่จะลอง อาจจะได้วิ่งร้อยโลซักครั้งในชีวิต

https://www.facebook.com/groups/100KClubTh


START YOUR IMPOSSIBLE




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น