Khaokho Super full Marathon 45 Race note (5June22)
ตื่นตั้งแต่เที่ยงคืนเศษ นอนฟังเพลงรอเวลา ตีหนึ่งครึ่งลุกไปแต่งตัว ตีสองกินขนมปังกับนม เสร็จแล้วพร้อมออกเดินทาง
ต้องลากเดียร์นั่งรถออกไปด้วยแม้ฮาร์ฟจะปล่อยตัวหลังฟลูตั้ง 2 ชม. แต่ไม่รู้จะไปยังไง แถวที่พักไม่มีนักวิ่งให้ขอติดรถเลย น่าสงสาร
ถึงหน้าจุดปล่อยตัว 2.35 ฝากเดียร์ดูแลเรื่องรถต่อ เราก็ลงแล้วเดินเข้างาน เห็นคนน้อยๆ ที่จริงรอด้านในหมดแล้ว
ต้องไปฝากของเพราะลืมถอดเสื้อที่สวมกันหนาว โชคร้ายตอนถอดเสื้อ ไปทำหูฟังหลุดไม่รู้ตัว เสียหูฟังอันใหม่ไปอย่างรวดเร็ว TT
ก่อนปล่อยตัว 3 นาทีก็ไปแทรกๆต่อแถว ปรากฎซุ้มประตูไฟดับ เสียเวลารีเซตนาฬิกาเล็กน้อย ปล่อยตัวเลทไป 2 นาที ก็ยังโอเค๊ สุดวิสัย
จริงๆค่อนข้างประหลาดใจที่ชิลกว่าปกติมาก อาจเป็นเพราะไม่ได้จะมาวิ่งเอาเวลา
แค่มาเก็บงานที่ลงไว้ กับมาลองสนามยากดูซักครั้งมั้ง หรือไม่ก็เพราะเพื่อนชิล
(ก็แหง เค้าลงฮาร์ฟกัน)3.02 ปล่อยตัวก็ทยอยๆเดินตามคนข้างหน้าไป พ้นซุ่มเริ่มจ๊อก ออกตัวไม่รีบ แต่ก็ไม่เฉื่อย คนไม่แน่นมากพอค่อยๆแซงไปได้เรื่อยๆ (นักวิ่งฟลูประมาณ 1,600 คน)
ช่วง 2k แรกทางโรลลิ่งเล็กๆ ประคองเพซ 6 ไป ค่อยๆแซงเพซเซอร์โป่ง
ไล่ไปจนถึงโป่ง 5.30 ที่แถวๆทางเลี้ยวเข้าเส้นรองไปเขาค้อ แสงไฟน้อยลง
จนมองไม่เห็นโป่งข้างหน้าแล้ว แต่ก็ได้ตำแหน่งตามเป้าคือขอจบก่อน 5.30
พยายามวิ่งนำไปหน่อยเผื่อหยุดกินน้ำ หรือเดินขึ้นเนินมากเกินไปจะได้ไม่โดนไล่จี้
(ตอนบางแสน42เครียดเกินไป)ช่วง 3-12 k วิ่งไหลทางของถนน 2 เลนไปเขาค้อ แต่ก็วิ่งสะดวกเพราะแทบไม่มีรถ ไหล่ทางกว้าง และมีกันรถให้ช่วงรับน้ำหรือกระชั้น แสงไฟลดลงจากถนนใหญ่ มีไฟเป็นช่วงๆที่มีบ้านหรือรีสอร์ทติดๆกัน ตัดสินใจเอา headlamp ที่แจกติดมาด้วย ก็ได้ใช้งาน ไม่ได้มืดขนาดวิ่งไม่ไหว แต่การมีไฟติดหัวเองรู้สึกคุณภาพชีวิตดีกว่ามาก (ลังเลเพราะไม่ได้ซ้อมใส่ และคิดว่ามีน้ำหนักอาจเป็นภาระช่วงหลังสว่าง)
ทางเป็นโรลลิ่งเบาๆมาตลอด ยังไม่ถึงกับต้องเดินขึ้น แต่เริ่มมีเนินที่เริ่มชัน จนทำให้หอบหนักมาเป็นพักๆแล้ว เริ่มเจอนักวิ่งเดินบ้างอาจอยากเซฟขาไว้เผื่อช่วงหลัง ถึงตลาดแถว กม. 12 แยกจากระยะฮาร์ฟแล้ว ต่อจากนี้ทางเป็นไงไม่รู้ เพราะไม่เคยแม้แต่จะขับรถผ่าน
พอเข้า 13 k แยกไปถนนขึ้นจุดชมวิว(มั้ง) คราวนี้มืดสนิท ถนนไม่มีไฟ มีแต่แสงมาจาก headlamp ที่นักวิ่งติดตัวมาเท่านั้น รู้สึกได้ถึงความชันค่อยๆเพิ่มมากขึ้น พร้อมๆกับที่เนินแต่ละลูกยาวขึ้น จนเริ่มมีเนินที่วิ่งขึ้นไม่ไหว ใครแรงดีก็ยังจ๊อกไปต่อได้ แต่สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนมาเดินอยู่ดี เพราะยาวต่อเนื่องเป็นกิโล และยังโค้งไปมาในความมืดมองไม่ได้ไกล เนินที่นึกว่าจะถึงยอดแล้วก็เลยยังยืดยาวต่อไปเรื่อยๆ
ช่วง 16-17k น่าจะเป็นการไต่เขาจริงๆช่วงแรก ทำอะไรไม่ได้นอกจากเอียงตัวไปข้างหน้ามากๆ แล้วก็ power walk ต่อไปทีละก้าว คอยมองแสงไฟจากคนข้างหน้านำทางสั้นๆ
ขึ้นถึงยอดแรกจะเป็นทางโรลลิ่งบนยอดไปประมาณ 2km. ช่วงนี้ทุกคนกลับมาวิ่งได้ เหมือนได้พักเหนื่อย (ตลกนิดๆที่วิ่งเหนื่อยน้อยกว่าเดินขึ้น) อากาศข้างบนค่อนข้างเย็น เพราะไม่มีอะไรบังลม ขอบฟ้าเริ่มสีเทา ตีห้าพระอาทิตย์ใกล้ขึ้นแล้ว
ที่ 18kปลายๆ เป็นทางลงเขา ลงแรงแบบที่ขึ้นชันแค่ไหน ลงก็ชันเท่านั้น ใช้ซอยเท้าเร็วๆเอาเพราะลงชันขนาดนี้วิ่งไม่ได้แน่ ปล่อยไหลแบบคอยยั้งตัว เอนตัวไปด้านหลังเต็มที่ พยายามลงให้เบา กลัวว่าถ้าเจ็บมาตอนนี้จะแย่ ยังมาได้ไม่ถึงครึ่งทาง
ลงยาวมาจนตัดเข้าถนนเส้นไปเขาค้อ เป็นช่วงทางราบสั้นๆ ก่อนจะเลี้ยวซ้ายขึ้นไปทางทุ่งกังหันลม
ที่ 21k ทันที่ที่เลี้ยวซ้ายก็เป็นทางขึ้นเขายาวๆ ทุกคนยังพยายามวิ่งดันส่งให้ไกลที่สุด เท่าที่แต่ละคนจะไหว แต่ก็ต่างกันได้ไม่กี่สิบเมตรก่อนจะต้องเปลี่ยนมาเดินเหมือนเดิม ชันเหมือนขึ้นเขาลูกแรก พอฟ้าเริ่มสว่างมองไปไกลๆ เห็นเนินพับไปมาสุดสายตา คราวนี้ก็ไม่มีใครฝืน เหมือนเข้าช่วงวัดใจเผื่อแรง เดินเร็วเอาเพซของใครของมัน
สว่างแล้วเก็บ headlamp เข้ากระเป๋าคาดเอว ดีที่กินขนมไปบ้างแล้วเลยไม่ถ่วงเท่าไหร่ เดินกดขึ้นเขากันไป พอสูงขึ้นก็เห็นวิวดีขึ้น เห็นทะเลหมอกอยู่ไกลๆ ใกล้ๆไม่มี แต่ก็สวยมากแล้ว
ที่ 23k เดินขึ้นมาได้ยาวประมาณเขาลูกแรก อยู่ประมาณกลางทางขึ้นทุ่งกังหัน ทางเปลี่ยนเป็นช่วงโรลลิ่งเบาๆไม่ชันทำให้กลับมาวิ่งกันได้ เริ่มมีบ้านและรีสอร์ทอยู่ข้างทาง พอได้พักหลังเดินตึงหน้าขามา
ที่ 26k เข้าสู่ทางชันอีกครึ่งทางที่เหลือ คราวนี้ชันดีดน่าจะชันที่สุดยาวที่สุดของเรซ โค้งน้อยลง เห็นความยาวเนินไกลขึ้น นักวิ่งเดินไปคุยกันไป ใครมีสเปรย์ติดมา จะกลายเป็นผู้มีพระคุณกับคนรอบตัวมากๆ ส่งกำลังใจกันว่ายากสุดแล้ว มาเดินไปเรื่อยๆจนถึงยอดกัน
ที่ 27k พาตัวเองมาถึงยอดได้ ทางเข้าเป็นสวนสนเล็กๆหลังจากนั้นเป็นที่ราบกว้าง พื้นกลายเป็นทางดินมีกรวด เจอซุ้มน้ำใหญ่แจกเยลลี่เจเล่ (สดชื่นดี แต่ไม่ค่อยเหมาะกับนักวิ่งนะ แคลน้อย ไม่มีเกลือแร่) กินกล้วยหอมชิ้นเล็ก รู้สึกดี สดชื่น ข้างบนความชื้นสูง เย็นจางๆ อากาศดีมาก วันนี้ไม่มีแดด อาจมีละอองฝนจางๆแต่ไม่เรียกว่าฝนตก ถือว่าเหมาะกันการวิ่งกลางแจ้งมากๆ
ผ่านซุ่มน้ำข้างๆมีป้ายไวท์บอร์ดเขียนข้อตวามที่ผู้จัดเตรียมไว้ ถึงรู้ดีว่าข้างหลังคงมาเขียนทับ แต่ก็ขอสักหน่อย พอขึ้นมาถึงบนนี้ได้ความสบายใจมันช่วยให้ผ่อนคลาย ไม่ได้รู้สึก อยากรีบวิ่งต่อเท่าไหร่ จับปากกาลงเขียนเป็นที่ระลึก “รู้แล้วว่าทำไมหลายคนถึงบอกว่าไม่มาซ้ำน่ะ”
แวะตั้งกล้องถ่ายรูป วิ่งๆหยุดๆไปตลอดกิโล ข้างบนวิวดี เขาค้อสีเขียวเพราะเริ่มหน้าฝน อากาศดีเป็นใจ กังหันขนาดยักษ์ส่งเสียงหมุนคล้ายทำนองกล่อม เวิ้งว้างแต่ก็มีพลัง
ทอดยาวไปไกล เป็นช่วง 3 กิโลที่อยากอยู่ให้นานๆ เส้นทางยังคงโรลลิ่งแต่ก็ในระดับ ที่ทุกคนยังวิ่งไปต่อกันได้ ยกให้เป็นช่วงเส้นทางที่ดีที่สุดเท่าที่เคยไปงานวิ่งมาที่ 30k หลังจากผ่านเส้นทางช่วงประทับใจ และผ่านช่างภาพจำนวนมากมาแล้ว ก็ถึงเวลาที่ต้องลงจากทุ่งกังหันแล้ว เหมือนเดิมของสนามนี้ ขึ้นสุดลงสุด
ขึ้นมาด้วยความชันเท่าไหนก็ลงชันเท่านั้น แถมการลงคราวนี้เริ่มด้วยทางดินมีกรวดลอยนิดหน่อย
ให้บรรยากาศเทรล วิวยังคงสวย แต่ต้องมีสมาธิกับการวางเท้าพอสมควร
เป็นช่วงที่ทำความเร็วได้ทำให้หลายคนเริ่มกลับมาวิ่งจริงจังหลังจากก่อนหน้าดูเหมือนจ๊อกดูวิวลงถนนดินทำความเร็วมาได้กิโลครึ่ง คราวนี้ทางเรียกว่ารูดลงแถมเป็นพื้นคอนกรีตด้วย ขาขึ้นมี 2 ขยัก แต่ลงนั้นรวดเดียว พยายามเดินประคองไม่ให้วิ่งไหลลง ขนาดแค่เดินเร็ว แรงกระแทกยังมาก กลัวเจ็บ พี่ๆมีอายุหน่อยที่วิ่งมาเพซเดียวกันยอมลดความเร็วลง ถนอมร่างกายกัน บางคนเลือกถอยหลังลง มันชันมากจริงๆ แถมยาวมองไม่เห็นทางออกโค้ง
ที่ 34k หลังจากอดทนลงเขากันมา ในที่สุดก็ถึงด้านล่าง กลับมาอยู่ระดับเดียวกับก่อนขึ้นเขา ถนนยังเป็นทางคอนกรีตตัดเข้าหมู่บ้านมีความโรลลิ่งเบาๆ บางเนินก็เดิน บางเนินก็วิ่งได้ บรรยากาศกลับเข้าเป็นปกติของงานแข่งวิ่ง มีคนทำความเร็วสลับกันขึ้นนำไปมา
จากนี้กลับเข้าสู่ถนนลาดยางเส้นไปเขาค้อ แต่มีพาตัดเข้าผ่านไร่ BN แวะไปวิ่งทางดินนุ่ม
ผ่านป่าอุโมงต้นไผ่ ก็ได้บรรยากาศแตกต่างจากเดิม คิดว่าน่าจะเป็นจุดพักร้อนได้ดีในปีที่แดดแรง
แต่ปีนี้ไม่มีแดด เลยวิ่งสบายไม่ต่างกันที่ 39k ออกจากไร่กลับเข้าสู่ถนนเส้นขามา ไปสมทบกับนักวิ่งระยะฮาร์ฟช่วงกลางค่อนท้าย คนคึกคัก เราก็อาศัยไหลไปตามคนข้างหน้า เพราะคิดว่ากลุ่มนี้วิ่งเพซช้ากว่าเราวิ่งปกตินิดหน่อย เริ่มหมดแรงต้องเดินช่วงขึ้นเนินบ้าง ส่วนนักวิ่งฟลูส่วนใหญ่ที่ตามมานั้นก็แซงเราไปซะแล้ว
วิ่งสบายๆแต่ก็ยังมีบางช่วงรู้สึกหมดแรง ที่จริงก็ไม่แปลก ตอนนี้ระยะมันจะจบฟลูมาราธอนแล้ว แถมนึกได้ว่าไม่ได้หยิบอะไรออกมากินนานแล้ว เลยกินเจลไป พอแรงกลับมาก็เคาะต่อไปได้เรื่อยๆ
ผ่าน 42.2k ไปได้ด้วยความรู้สึกว่าไม่ได้เหนื่อยหนัก คิดว่าน่าจะไปจนจบได้ไม่มีปัญหา เลี้ยวออกถนนใหญ่ ดูเวลา อ่าว..ยังไม่ 5 ชั่วโมงนี่นา ดีกว่าที่คิดนิดหน่อย แต่คำนวณเวลาคร่าวๆ ไงๆก็คง sub 5 ไม่ทันแล้ว ถึงจะเร่งไปก็มีโอกาสเจ็บโดยไม่จำเป้น ถ้าคิดจะวิ่งสบาย ก็อย่าไปสนใจตัวเลขสมมุติ subx.xx อะไรมาก ตอนนี้ก็วิ่งมีความสุขดีแล้ว ไปเรื่อยๆแล้วกัน
ที่ 500 ม.สุดท้ายเลี้ยวเค้า jolly land ไปจุดปล่อยตัว ประคองความเร็ว ผ่านกลุ่มนักวิ่งทุกระยะ ที่มารวมเส้นทางกัน แม้จะเข้าเส้นชัยเบียดๆคนเข้าออกหน่อย แต่ก็ยังถือว่าโอเค กดถ่ายวีดีโอก่อนเข้าเส้นชัยนิดนึง ก่อนจ๊อกสบายๆเข้าเส้นไป
5.02 h. official chip time ระยะวิ่ง 44.8 km. ขาดไปหน่อย มัวแต่คิดว่าต้องไปจ๊อกต่อให้ครบ 45 เลยใจลอยๆ พอครบระยะลืมกดหยุดนาฬิกาได้แถมไปอีกหลายนาที แต่โอเค ไม่ได้แข่งกับใคร ยังดีกว่าเป้าหลวมๆที่วางไว้ แถมสภาพร่างกายก็ดีด้วย (จริงๆถ้าไม่วิ่งเอาเวลาหรือทำ PB มาราธอนก็อาจไม่ได้หนักเท่าที่คิดรึเปล่านะ)
รับเหรียญ-เสื้อ วนไปเอาอาหาร โทรหาเดียร์ แวะถ่ายรูปที่ระลึก เดินกลับไปรถ ยืดเหยียดนิดนึง แล้วรีบขับกลับ ไปตอนนี้ยังทันข้าวเช้าโรงแรมอยู่ 55+
ความเห็นกับเขาค้อมาราธอนหลังวิ่งจบ ถ้าสั้นๆก็ยาก แต่ถ้าซ้อมจนจบมาธาธอนที่อื่นได้ ที่นี่ก็คือสนามภูเขาสนามหนึ่ง อาจจะได้แถมระยะบ้าง ทางขึ้นลงชันสุดๆบ้าง แต่ไม่ได้เหนื่อยกว่า มาราธอนปกติขนาดนั้น โดยเฉพาะถ้าตั้งใจมาวิ่งสบายๆไม่ทำเวลา จะเป็นสนามที่น่ามามาก
ป้ายห้อย “ยากที่สุดในประเทศไทย” อาจมาพร้อม “วางเส้นทางประทับใจที่สุดในประเทศไทย” (จากประสบการณ์ตอนนี้) งานไม่ได้ยิ่งใหญ่หรือเป๊ะแบบ world label อย่างพวก BS ATM แต่ไม่มีอะไรแย่ ผ่านมาตรฐานกลางๆได้สบาย
ชวนเพื่อนมาได้ แนะนำด้วยว่าควรมาซักครั้งถ้ายังเป็นนักวิ่งมาราธอน แต่ในเงื่อนไขอย่างน้อย ต้องซ้อมครบฟลูมาราธอน และอย่ามีปัญหาเข่า ข้อ ITB ยังไงซะ gain 823m. ก็ส่งผลกับร่างกายแน่ๆ
ชอบและประทับใจ แต่ยังไม่คิดจะซ้ำนะ บอกแล้วว่าอยากมาลองซักครั้งเฉยๆ