วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Tour of Chanthaburi 1st ลงงานแข่งครั้งที่ 1



          หลังออกทริปก๊อกๆแก๊กๆซ้อมปั่นไปเรื่อยซักพักก็อยากจะหาบรรยากาศที่ช่วยส่งเสริมให้เรามีเป้าหมายในการออกกำลังกายเพิ่มขึ้น ในตอนที่เปิดเวปหาทริปก็ไปเจอหน้ารับสมัครงานแข่งที่จันทบุรีในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะลงตัว เนื่องจากบ้านบุพการีอยู่จันทบุรีเป็นจังหวัดที่คุ้ยเคย สถานที่ก็รู้จัก ระยะก็พอไหว เลยแทบจะตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่า รายการนี้แหละเปิดรอเราไปลงอยู่(คิดเอง) จากข้อมูลการแข่งแบ่งรุ่นและระยะแล้วสรุปได้ว่าเริ่มจากรุ่นมือใหม่ไม่จำกัดอะไรเลย ระยะทาง 50 กม.เป็นไปได้มากที่สุด อย่างน้อยก็ไม่น่ามีปัญหาการจบในเวลาไปถ่วงผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ซึ่งคิดถูกมาก เพราะด้วยความสามารถ ณ ตอนนั้นจะให้ไปลง OPEN หรือแม้แต่รุ่นอายุตัวเองแล้วจะเกาะไปได้ตลอดเวลาและเส้นทางแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

          ตัดสินใจได้ก็หาเวลาแวะไปจันทบุรีซักทีจะได้ไปดูเส้นทางและลงสมัครกับร้านจักรยานที่เป็นตัวแทน พร้อมแสดงความมุ่งมั่นด้วยการออกไปปั่นลองเส้นทางพร้อมคุณมารดาซึ่งมีจักรยานเสือภูเขาอยู่หนึ่งคัน วันที่ 7/12 เกือบ 8 โมง ออกตัวไปจากบ้านซึ่งห่างจุดสตาร์ทประมาณ 8 km. เส้นทางจัดงานเริ่มออกตัวที่ อบจ.จันทบุรีซึ่งเป็นผู้จัดงาน วนไปตามเส้นทางสุขุมวิทสายหลัก 5 km.ก่อนจะวกไปทางรองที่ถนนค่อนข้างดีแต่มี 2 เลนและไหล่ทางแคบ รถบรรทุกวิ่งเป็นส่วนมากแม้จะไม่ใช่ทางที่รถผ่านไปมาเยอะแต่ก็พอได้เสียวอยู่เรื่อยๆ สภาพพื้นที่เป็นทางขึ้นลงเนินขนาดย่อมแทบตลอดสาย กินแรงมากกว่าปั่นทางราบพอสมควรสำหรับคนที่วันๆอยู่แต่แถวกทม.เป็นหลัก ทางเปลี่ยวบ้างบางช่วงแต่วันซ้อมก็ยังพอหาร้านชำขนาดเล็กแวะได้ตลอดทาง พยายามแวะทุกชั่วโมงให้ได้พักเนื่องจากคุณมารดาไม่เคยปั่นทางยาวขนาดนี้มาก่อน ก่อนจะวกกลับมาถึงจุดเดิมด้วยความเหนื่อยขนาดต้องตามรถมารับเพราะถ้าไปต่อถึงบ้านจะหนักเกินไป ยังไงก็พอมั่นใจได้ว่าจบได้ตามเวลาที่กำหนด (มีเวลาให้ 3.30 ชม.)

ไปซ้อมซะหน่อย ไหล่แทงแคบไปนิดเจอรถบรรทุกก็หลบพี่เขาก่อน

          วันลงทะเบียน 21/12 จุดลงทะเบียนสับสนเล็กน้อย เนื่องจากไม่มีการแจ้งชัดเจนและพื้นที่อบจ.แห่งใหม่ก็ค่อยข้างกว้าง วนไปตามจุดต่างๆหลายที่ จนเห็นรถที่มีจักรยานห้อยอยู่จอดกันหลายคันถึงได้ไปถูก ด้วยความไม่เคยก็ใช้เวลาทำความเข้าใจกับการรับเบอร์บ้างแต่ไม่ยาก เพราะคนยังไม่มาก แม้จะเป็นการจัดงานครั้งแรก แต่กลุ่มผู้จัดค่อนข้างมีประสบการณ์แข่งมามากก็มาคอยแนะนำและรับหน้ารับคำบ่น (ทราบทีหลังว่าเป็นนักปั่นระดับประเทศ พยายามจะสร้างกิจกรรมและชักชวนคนที่บ้านเกิดให้มาปั่นจักรยาน ต้องลงแรงลงเงินไปพอสมควรเพราะงบจาก อบจ.เองก็จำกัด ถือว่าน่าสนับสนุน) ได้เบอร์ไปก็เอากลับไปติดจักรยาน หยอดโซ่ครั้งแรกตั้งแต่ขี่ ถอดของไม่จำเป็นออก แล้วก็สบายๆวันพักผ่อน

Start-Finish Point

          วันแข่งจริงตื่นมา 7 โมง หาไรเบาๆกินแล้วไปที่จุดปล่อยตัว เนื่องจากปล่อยตัวค่อนข้างสาย 9 โมง เลยมีเวลาก่อนพอสมควร กินปาท่องโก๋ น้ำเต้าหู้ ข้าวต้มที่มีแจกอีกหน่อย(กินเยอะจนเริ่มตัวหนัก) พยายามดูว่าคนอื่นทำไรกันบ้างก็ทำตามเขาไป วอร์มนิดหน่อย เข้าห้องน้ำ เช็ครถตามเรื่อง ใกล้เวลาเริ่มพิธีการเลทนิดหน่อยแต่ไม่น่าเกลียด แล้วก็ไปต่อคิวรอรอบ แน่นอนว่ารุ่นมือใหม่ออกเป็นกลุ่มสุดท้าย เราก็ไปเกาะแนวหลังเพราะไม่ได้คิดจะวัดกับใคร (ที่จริงีือวัดไม่ไหว รุ่นมือใหม่นี่หมอบคาร์บอน ล้อขอบสูง ชุดขับบนๆอื้อเลย ดีนะตอนนั้นยังไม่รู้จักเลยไม่แป้ว)

มีบรีฟก่อนปล่อยตัวเล็กน้อย ทุกคนลากจักรยานมาฟังดีว่าสถานที่กว้างขวาง

ต่อคิวออกตัว ขอไปอยู่แนวหลัง ให้ขาแรงไปก่อน

          หลังออกตัวกลุ่มนำเร่งออกไปไกลลับตาอย่างไว เราก็ค่อยๆไต่จากแนวหลังขึ้นไปตามความเร็วที่ปั่นปกติบวกไปนิดหน่อยประมาณ 32-35 kph. ผ่านคุณป้าคุณอาก็ได้ยินเสียงลอยตามมาว่าพวกนี้มันมือใหม่อะไรกันนี่ แหมกลุ่มนำเค้าไปไล่แซงเสือภูเขาที่ปล่อยตัวก่อนจนทันแล้วนะคร๊าบ พวกผมอ่ะใหม่จริงจักรยานเพิ่งซื้อได้ 2 เดือน จนถึงทางแยกจากถนนสายหลัก ทางเริ่มเป็นโรลลิ่งขึ้นลง กลุ่มเริ่มขาดออกจากกัน จะไปเกาะคันหน้าก็ช้ากว่าเรา พอไล่เร็วไปถึงกลุ่มต่อไปก็รอบขาเราก็นำไปแล้ว สรุปค่อยๆปั่นเดี่ยวแซงไปได้ด้วยความไม่มีประสบการณ์ ยังออมแรงอะไรไม่เป็น บรรยากาศมันพาให้ฮึกเหิมไปเรื่อย ผ่านไปครึ่งชั่วโมงนักปั่นทิ้งห่างกันแบบสังเกตได้ เนื่องจากนักปั่นส่วนใหญ่มือใหม่ไม่เน้นปั่นกลุ่ม ไม่มีผลัดกันนำผลัดกันตาม มีเริ่มแซงกลุ่มเสือภูเขากลุ่มท้ายได้บ้าง เนินเริ่มส่งผลกับนักปั่นที่นิยมทางราบทำความเร็วกันไม่ได้เลย เริ่มเหนื่อยจริงจังความเร็วลดลงเหลือเฉลี่ย 27-30 kph. กล้ามเนื้อหน้าขาล้าเพราะใส่เฟืองวงใหญ่มาตลอดทางเพราะทางขึ้นลงเยอะแต่ไม่อยากเปลี่ยนเฟืองหน้าบ่อย กินเกลือแร่เพิ่มขึ้นกลัวตระคริวจะมา

เสือหมอบ 80 โล / เสือภูเขา+มือใหม่ 50 โล / VIP 10 โล

          ครบชั่วโมงเลยครึ่งทางมาได้หน่อยทางยังโรลลิ่งแต่ไม่ชันและยาวขึ้น พยายามหาจังหวะกินบาร์แม้จะเคยลองกินขณะปั่นมาบ้างแต่ด้วยความเหนื่อยกว่าปกติรู้สึกได้ว่ามันมีอาการดันขึ้นมาผะอืดผะอมพอดู ต้องระบายด้วยการพยายามเรอซึ่งช่วยได้บ้าง ประมาณช่วง km.35 เจอกลุ่ม OPEN ที่ออกตัวไปก่อนประมาณ 25 นาทีปั่นไปทาง 80 km. แซงไปในจุดทางของสองกลุ่มบรรจบกัน นึกในใจ นี่สินะของจริง ซึ่งที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่กลุ่มนำด้วยซ้ำ ยังต้องฝึกอีกเยอะ เข้าช่วง 10 km.สุดท้ายเริ่มมีป้ายบอกระยะทางที่เหลือ มาถูกเวลาพอดีเพราะแรงเริ่มหมด จนช่วง 5 km.สุดท้ายทางออกมาบรรจบกับถนนสุขุมวิทสายหลัก เห็นได้ว่านักปั่นที่มีประสบการณ์เริ่มเร่งความเร็วขึ้น ส่วนเราแค่ประคองความเร็วก็เต็มที่แล้ว ค่อยๆถูกคนข้างหลังแซงห่างออกไปแบบไม่สามารถไล่ไปเกาะได้ แถมเส้นชัยอยู่บนเนินทางเข้าอบจ.ทุกคนพยายามสปรินท์เข้าสวยๆ แต่อย่าว่ายืนปั่นเลย ตอนนี้เร่งรอบขึ้นก็ไม่ไหวแล้ว ประคองตัวเข้าเส้นไปได้แบบเหนื่อยๆ ดูเวลาก็จบที่ประมาณ 1:35 ชม.  เร็วเฉลี่ยประมาณ 30 km.ได้ใกล้เคียงที่ตั้งใจไว้ก็โอเค (AV 30ได้อันดับ 56 ของมือใหม่เอง) หาอะไรกินเหลือแต่ข้าวกับหมดซึ่งหิวๆกินอะไรก็ได้อยู่แล้ว รอเวลาแลกเหรีญที่ระลึก พอคุณมารดาปั่นตามเข้ามาที่ประมาณ 2 ชั่วโมงกว่า(เก่งมากเพราะปกติปั่นน้อยและรถเสือภูเขาเดิมๆหนักมากกก) ถ่ายรูปที่ระลึก รอเหรียญ แล้วก็ชวนกองเชียร์ครอบครัวไปหาอะไรกินกันมีความสุขแบบหมดแรงๆ

แจกเหรียญที่ระลึกอย่างเดียว แต่แอบมีพลอยเม็ดเล็กติดอยู่ดูมีมูลค่าเพิ่ม

ชอบ

- การจัดเตรียมงานทำได้ดี คงเป็นเพราะผู้ดูแลก็เป็นนักปั่นซึ่งจะเข้าใจว่านักปั่นต้องการอะไร ระบบการลงทะเบียน การใช้ชิปเวลาเป็นระบบพอสมควร ขอชมในฐานะการจัดงานครั้งแรก

- ระหว่างทางจัดให้มีกองเชียร์เป็นเด็กนักเรียนในพื้นที่มากเล่นดนตรี ยืนตบมือเชียร์บนยอดเนิน ด้วยความที่ไม่เคยร่วมงานที่มีบรรยากาศแบบนี้มาก่อนรู้สึกได้กำลังใจเพิ่มขึ้นมาก งานนี้นำรายได้มอบให้กลุ่มโรงเรียนที่เส้นทางแข่งผ่านเรายิ่งเต็มใจยินดีที่ได้ร่วมทำบุญ ถ้าต่างฝ่ายต่างส่งความสุขเล็กๆน้อยๆต่อกันได้แบบนี้ก็ปลื้มครับ (แค่หวังว่าเด็กๆจะไม่ร้อนมากเกินไปที่ต้องมายืนตากแดดน่ะนะ)

ไม่ชอบ

- เส้นทางที่เลือกใช้ถนนถนนหลายจุดไม่ค่อยดี แม้จะประชาสัมพันธ์ว่าซ่อมแล้วก็เป็นเพียงเอาหินกรวดโรยแล้วนำรถมาบดอัด รถยางแคบลื่นมากโดยเฉพาะช่วงโค้งและลงเนิน เข้าใจว่าพยายามแล้วคงเป็นวิธีดีสุดที่จะทำได้ในเวลาและงบจำกัด

- ปล่อยตัวสายไปหน่อย 9.00 น. นักจักรยานส่วนใหญ่ตื่นเช้าอยู่แล้วไม่น่าเป็นปัญหา อาจเป็นเพราะต้องรอประธานงานหรือต้องเผื่อเวลาให้อาหารย่อยก่อนปั่น (แต่คนจริงจังเขาเผื่อเวลาให้ตัวเองตื่นมากินได้อยู่แล้วนี่ครับ) ส่งผลให้คนจบสายๆร้อนมาก โดยเฉพาะมือใหม่และผู้สูงอายุที่ปล่อยตัวทีหลังแล้วยังปั่นความเร็วได้ไม่มาก

- น้ำและอาหารดีช่วงเช้าก่อนปล่อยตัว แต่หลังแข่งจบไม่พอกิน คนนอกมาต่อคิวกันเยอะ ถ้าไม่พกไรสำรองมากินบ้างมีหงุดหงิด

- พิธีการช่วงหลังแข่งเริ่มและดำเนินไปค่อนข้างช้า 

          สรุปเป็นงานที่โดยรวมก็ยังน่าประทับใจ มีอะไรดีๆอยู่ชดเชยได้พอสมควร ถ้ายังมีครั้งต่อๆไป คนจัดไม่ท้อหรือเบื่อซะก่อนก็ยินดีไปซ้ำอีกแน่ๆ

วันเสาร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

รวมทริปที่ไปปั่นปลายปี 56

           ช่วงปลายปี 56 เป็นเวลาค่อยๆเก็บประสบการณ์การปั่น พร้อมกับค่อยๆให้ร่างกายชินกับการออกกำลังกายเป็นประจำ มือใหม่ที่ไม่มีเพื่อนในก๊วนปั่นจักรยานจริงจังต้องอาศัยการไปจอยทริปที่เปิดรับผู้เข้าร่วมแบบopen จะมีแบบกลุ่มหรือชมรมจักรยานคิดหาเส้นทางแล้วเชิญชวนนักปั่นให้ไปร่วมเดินทาง และแบบที่เป็นงานปั่นจักรยานแบบทำกิจกรรมเป็นทางการเพื่อวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้จะการกุศล ทำบุญ ฯลฯ ซึ่งด้วยความที่ช่วงนี้จักรยานบูมมากทำให้สามารถเลือกรูปแบบ เส้นทาง เวลาได้ตามที่เราสนใจ ต่อไปนี้เป็นทริปที่ได้ไปมาในช่วงปลายปี 56

ปั่นไปพุทธมณฑล ตอนนั้นถือว่าไกลแล้ว

1.       ทริป 1 อโศก-พุทธมณฑล-เลาะคลองเที่ยวตลาดน้ำ กับกลุ่ม Bike-Thailand เป็นกลุ่มที่จัดกิจกรรมชวนปั่นอย่างต่อเนื่องมานาน มีทริปทั้งสัปดาห์ วันธรรมดาก็เบาๆชิลเที่ยวบ้างกินบ้าง ส่วนวันหยุดเป็นทริปยาวๆ ความเร็ว 30+ ซึ่งทริปนี้น่าจะเป็นทริปที่เบาสุดแล้วมั้งเพราะระยะรวมแค่เกือบร้อยกิโลเมตร(เบา?) ความเร็ว 25-30 km. แวะไปรวมกลุ่มแถวอนุสาวรีย์ชัย แล้วเกาะไปด้วยกันเรื่อยๆ คนนำทริปคุณไผ่และคณะมีประสบการณ์นำทริปค่อนข้างดี ทั้งการคุมความเร็ว จัดแถวตามสถานการรณ์การจราจร การเลือกจุดพัก การเลือกเส้นทาง ทำให้ผู้ไม่เคยไปจอยทริปมาก่อนปั่นตามได้ด้วยความสนุก ภายใต้เงื่อนไขว่ากรุณาตามกลุ่มให้ทัน เนื่องจากบางครั้งก็มีผู้ยังไม่แข็งหรือเลือกรถไม่ถูกมาร่วมปั่นแล้วหลุดกลุ่มไปไกลๆ แต่ที่จริงทางกลุ่มจะแจ้งเสมอว่าจะไปกันด้วยความเร็วเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นความผิดของผู้ร่วมทริปที่ไม่ทำความเข้าใจหรือประเมิณตัวเองผิด แต่ทางคณะก็มีคนคอยตามปิดกลุ่ม หรือแยกไปนำกลุ่มตามอยู่แล้ว  เป็นกลุ่มจักรยานนิสัยดีครับ  

กลุ่ม Bike Thailand ตอนนี้เป็นกลุ่มดังทีเดียว

          วันนั้นช่วงแรกปั่นสนุกมาก ทำความเร็วกันยาวๆ ไปแวะถ่ายรูปและปั่นในพุทธมณฑลกันเล็กน้อยก่อนข้ามสะพานดาวไปกินข้าวที่ ม.มหิดลศาลายา แล้วย้อนกลับไปทางเลียบคลองช่วงสาย2-3 น่าประทับใจสุดๆเพราะปั่นกันแบบมีทางกั้นบ้างไม่มีบ้าง ค่อยๆไปกัน ยกรถขึ้นสะพานบ้างเดินเข็นบ้าง อาจเป็นเส้นทางที่ไม่เหมาะกับเสือหมอบ(ร้องหารถเล็ก รถพับกันหลายคน) แต่เป็นทางสนุกได้ดูวิถีชุมชน ได้รู้จักการปั่นจักรยานเที่ยวเมืองอีกแบบ 

จงหาความแตกต่างของสองภาพนี้ ตอบ หล่นได้และหล่นไม่ได้

จูงมั่งยกมั่ง สนุกสนาน เปลี่ยนอิริยาบท

          ปั่นแวะดูตลาดริมน้ำ 3 แห่ง กินข้าวมื้อที่สอง แวะบ้านศิลปินแล้วปั่นกลับ แยกย้ายกันไปเรื่อยๆระหว่างทาง สรุปก็เป็นทริปไปจอยที่ค่อยข้างประทับใจ จนได้หาโอกาสไปกับกลุ่มนี้อีกครับ

งานประจำปีอีกหนึ่งงานจากทีมนิตยสารชื่อดัง


2.       ทริป 2 งาน A DAY Bike fest 2013 ก่อนจัดงานอีเวนท์และออกร้านกลางเดือน พย. ทางทีม a day ก็ได้จัดงานปั่นขึ้นก่อนเพื่อประชาสัมพันธ์ โดยใช้เส้นทางสนามหลวง-ทางลอยฟ้าบรมราชชนนี เส้นเดียวกับที่เพิ่งไปมาเมื่องาน Dtac เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ด้วยความประทับใจเส้นทางเลยตัดสินใจไปอีกครั้ง ครั้งนี้กึ่งชวนกึ่งลากคุณภรรยาไปปั่นด้วยเพราะจะพามารู้จักงานปั่นและออกกำลังไปในตัว เช้าวันที่ 3 พย. เอาจักรยานขึ้นรถมาประกอบหน้างาน แล้วไปรอเวลา มีทางทีมงาน a day ขึ้นเวทีไปพูดคุย กล่าวถึงงานที่กำลังจะจัดจนได้เวลา(เลยนิดนึงตามธรรมเนียม) ก็เริ่มปล่อยตัวนักปั่นก็ทยอยออกไปอย่างช้าๆ เส้นทางขาไปกั้นรถได้ดี เนื่องจากเป็นงานที่เป็นที่รู้จัก ผู้คนมากหน้าหลายตา หลายสาขา หลากสไตล์ แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นก็จะมาแนวแฟชั่น(อาจเป็นเพราะเตะตากว่า) ได้อารมณ์ทริปปิดสะพานถ่ายรูปลง Social network  ดูสบายกันไปตลอดเส้นทาง แต่วันนี้แดดแรงกว่าที่เคยมาครั้งก่อน เหนื่อยเร็วขึ้น โดยเฉพาะผู้ไม่ได้ปั่นจริงจังแบบคุณภรรยาก็ให้กำลังใจกันไป พยายามมาถึงจุดกลับตัวก่อนสุดทางยกระดับ คนหยุดกันเยอะมาก เนื่องจากพักและถ่ายรูปกัน ก็แวะถ่ายกันบ้างก่อนจะปั่นกลับ 

รวมตัวสนามหลวง

พี่โด๋วพิธีกร มีคุณทรงกลดกล่าวก่อนปล่อยตัวเล็กน้อย (ถ้าจำไม่ผิด)

          ขากลับหลายคนเริ่มไม่สนุกเพราะร้อน เหนื่อย และต้องเริ่มปล่อยรถขึ้นมาเพราะหมดเวลากั้นหรืออย่างไรไม่ทราบ มีจักรยานยนต์ที่เป็นทีมดูแลขบวนนักปั่นแจ้งว่าจะกั้นถนนเหลือ 1 เลนให้ชิดซ้ายไว้ จะเริ่มมีรถวิ่ง ซึ่งรถยนต์ส่วนใหญ่ที่วิ่งบนทางยกระดับคงไม่ต้องบอกว่าขับเร็วมากกก.. เริ่มได้ยินเสียงต้อนนักปั่นกลุ่มหลังมาแต่ไกลว่าจะหมดเวลากั้นถนนให้รีบปั่นต่อไปจนจบ ก็ยังพอปั่นกันอยู่ในเลนได้เพราะช่วงนี้นักปั่นกระจายตัวกันแล้ว ไม่แออัดกันเหมือนช่วงแรก มาติดอีกครั้งตอนขึ้นสะพานปิ่นเกล้า หลายคนหมดแรงต้องลงไปเข็น ทำให้บังเส้นทาง ลงสะพานมาก็ต้องกั้นรถเป็นช่วงๆเพื่อตัดเข้าสนามหลวง ที่เป็นจุดสิ้นุสด พอปั่นกันจนจบได้คุณภรรยาหมดแรง เริ่มเสียใจที่มาก็ปลอบกันไป พักซักครู่แล้วก็ปั่นกลับบ้านกันเองเพราะรถที่มาส่งกลับไปแล้ว เป็นอันจบทริป 

ตอนยังโล่งปั่นสบ๊ายสบาย

          ทริปนี้อาจให้คะแนนไม่มากเนื่องจากความไม่พร้อมหลายๆอย่าง การเตรียมงาน การจัดการงาน การกั้นรถ และตัวนักปั่นหลายๆคนก็ดูจะไม่ค่อยรักษาระเบียบออะไรกันมากตามแบบ Gen ME แต่ก็ไม่ได้มีอะไรร้ายแรงแบบรับไม่ได้ ผู้จัดก็ยังคงใหม่ เลยขาดๆเกินๆไป ยิ่งถ้าเทียบกับงาน Dtac ที่มาร่วมงานไปได้ไม่นานก็แตกต่างกันค่อนข้างมาก ยังไงซะผู้จัดก็มีความตั้งใจที่ดีที่หากิจกรรมมาส่งเสริมให้จักรยานมาเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางในชีวิตประจำวัน ก็หวังว่าถ้ายังมีอีกจะจัดการงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆครับ (ณ ตอนที่อัพบล๊อคนี้ กันยายน 57 A day เพิ่งจัดงานวิ่งครั้งแรก Human run ไป ก็ได้รับทราบข้อมูลว่ายังคงเป็นงานที่การจัดการไม่ดี เหมือนว่าคนจัดงานไม่รู้เลยว่านักวิ่งต้องการอะไร ก็ได้แต่ทำใจว่าคงเป็นครั้งแรกอีกเหมือนกัน ทนๆกันไปก่อน รู้สึกคิดถูกที่ไม่ไป และยืนยันแล้วว่ามี Bike fest อีกรอบปลายปี 57 นี้ ก็พยายามกันนะครับ ตัวงานน่ะจัดดีแล้ว แต่อีเวนท์ปั่น-วิ่ง หวังว่าจะทำได้ดีขึ้น)   

แต่ตัวงานจัดดีนะครับ ชอบอันนี้ชม

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2556

งาน Dtac ปั่นปันรัก 2556 (กรุงเทพฯ) ทริปเล็กทริปแรก

จัดที่กรุงเทพฯ 20 ตุลาคม 2556

          คนเรามักเก็บความทรงจำสำหรับครั้งแรกของการทำอะไรซักอย่างที่ชอบได้ดี ทริปแรกของผมก็ยังอยู่ในความทรงจำชัดเจน แม้จะผ่านมาเกือบปีได้แล้ว ในตอนนั้นหลังได้จักรยานมาช่วงแรกๆนั้นพอเอามาซ้อมได้ซักพักก็เริ่มคัน อยากลองไปปั่นตามงานดูบ้าง แต่ก็ยังใหม่เกินกว่าจะไปมองงานแข่ง มองหาในเวปจักรยานที่ใหญ่สุดของไทย Thaimtb ไล่ดูงานที่คิดว่าพอไปไหว มีงานน่าสนใจคือ Dtac ปั่นปันรัก งานช่วยสังคมที่เปลี่ยนกิโลเมตรที่ปั่นได้ของผู้ร่วมงานทุกคนให้เป็นเงินบริจาคซื้อจักรยานให้โรงเรียนในต่างจังหวัดที่ขาดแคลน จะมาจัดครั้งสุดท้ายของปีที่กรุงเทพ เข้าร่วมงานไม่มีค่าใช้จ่าย มีอาหาร-น้ำและของที่ระลึกแจก ทำบุญอีกต่างหาก ตัดสินใจแป๊บเดียว ลงทะเบียนผ่านเวปทันที

          ไม่ได้เตรียมตัวอะไรมาก เนื่องจากระยะทางที่จัดงานประมาณ 30 KM. ปั่นบนทางลอยฟ้าบรมราชชนนีเป็นระยะที่พอปั่นไหวอยู่แล้วนะตอนนั้น ติดตามข่าวงานก็ทราบว่ามีผู้สมัครเยอะมาก เนื่องจากเส้นทางและเงื่อนไขที่ดี ก็ไม่เป็นไร คิดว่าก็แค่คนเยอะ อาหารหมด ของหมดก็ไม่แคร์เท่าไหร่ ไปร่วมปั่น+ทำบุญก็พอ

ใครปั่นมาลานคนเมืองมักต้องมาถ่ายรูปกับรถแถวเสาชิงช้า

          ไปถึงลานคนเมือง ศาลาว่าการ กทม.ประมาณ 6.30 น. คนทยอยมาเยอะแล้ว ต่อคิวลงทะเบียน รับของที่ระลึกและอาหาร จากนั้นก็เดินเพลินๆรอบลานคนเมือง ตื่นตากับจักรยานมากมาย รถแปลกๆที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ณ ตอนนั้น ช่วยให้ขวนขวายไปทำความรู้จักกับจักรยานมากขึ้น จากที่เคยแบ่งมันแค่ หมอบ ภูเขา แม่บ้าน และรถพับ พอใกล้ได้เวลางานคนมากันจนเริ่มล้นลาน ปล่อยตัวเลทนิดหน่อยตามธรรมเนียม(ใคร?) ขาแรงพุ่งไปก่อน ส่วนคนทั่วไปก็ค่อยๆออกตัวเป็นแถวยาวตามกันต่อๆไป

ออกตัวเกาะกลุ่มตามกันไปเรื่อยๆ แถวยาวเหยียด

          งานได้รับความร่วมมือดีมากจากเจ้าหน้าที่ที่มาช่วยกั้นรถปิดถนนให้ตั้งแต่ลานคนเมืองปิดไปถึงเกือบสุดทางบรมราชนนี สะดวกสบายสำหรับผู้มาปั่นร่วมงานมาก แต่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้รู้ว่า การกั้นถนนขนาดนี้แม้จะเป็นเช้าวันอาทิตย์ก็ส่งผลกับรถติดมหาศาล แค่แถวขบวนที่ยาวเป็นกิโล ต้องกันทางแยกไม่ต่ำกว่า 30 นาที เพื่อให้จักรยานทั้งหมดในขบวนผ่านไปก่อน และการไม่ให้รถขึ้นสะพานยกระดับเลยตลอดช่วงเวลาเกินชั่วโมงที่ขบวนยังคงอยู่ข้างบน ได้แต่หวังว่าวันหลังเราคงจะไม่พยามยามขับรถมาทางเส้นนี้ในช่วงเวลาแจ๊กพอตแบบนี้ก็แล้วกัน

ปิดถนนทั้งฝั่งให้ปั่นขึ้นสะพาน

          แต่สำหรับนักปั่น โดยเฉพาะคนที่ยังใหม่มากแบบผมมีความสุขกับทริปนี้มาก แม้ว่าจะไปคนเดียว ทักคนอื่นบ้างนิดๆหน่อยๆ แต่ช่วงเวลาที่ปั่นบนทางยกระดับนั้นเป็นประสบการณ์ที่เชื่อว่าหลายๆคนต้องติดใจ ถนนปิดสำหรับจักรยานเท่านั้น วิวที่มองลงมาจากสะพานที่นั่งรถผ่านจะไม่ได้ซึมซับมุมมองที่ช้าลงแบบนี้ ลมที่พัดมาเบาๆตลอดเวลาและแดดเช้าที่ยังไม่แรงเกินไป ทำการมาปั่นครั้งนี้ไม่เหนื่อยเกินไปนัก ด้วยความเร็วประมาณ 25-27 กม./ชม.ที่ค่อยๆไล่แซงคนปั่นสบายๆขึ้นไปเรื่อยๆซึ่งก็เข้าใจว่าเร็วแล้วณเวลานั้น ก่อนที่กลุ่มนำพร้อมรถนำบวนจะสวนมาในจุดที่เรายังไปได้ไม่ถึงครึ่งทางของครึ่งทางแรก นี่สินะระดับบนของประเทศ(สังเกตเห็นธงชาติที่อกเสื้อ) 

ขาไปเกาะกันไปดีๆ ลมก็ดีวิวก็ดี

          ปั่นมาจนเริ่มรู้สึกเหนื่อยแบบยังไหวอยู่ก็มาถึงจุดกลับตัวเกือบสุดทางยกระดับ โอ้ สมเป็นงานในกรุงเทพมาก คนแวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึก อัพข้อมูลกับโทรศัทพ์ จอดรอเพื่อนเพื่อไปด้วยกัน เป็นร้อยคนได้ก็ค่อยๆเคลื่อนตัวช้าๆผ่านมาแบบยังไม่ติดขัดมากนัก ขากลับเริ่มเห็นคนจอดแวะกันมากขึ้นถ่ายรูป+พักเหนื่อยกันในตัวโอกาสแบบนี้ไม่มีบ่อยๆ ยาวมาจนสุดทางต้องมาขึ้นลงสะพานพระปิ่นเกล้าเริ่มมีปัญหา บางคนหมดแรงหรือรถไม่มีเกียร์ไต่สะพานไม่ไหว และเหลือการกั้นถนนแค่เลนเดียวทำให้พอลงสะพานเร็วๆก็ต้องมาเบียดกันเป็นคอคอด ซึ่งก็ยอมรับได้เพราะคงปิดถนนเกินชั่วโมงไม่ไหว ก็ยังมีเจ้าหน้าที่คอยโบกทางคอยดูแลดีอยู่ตลอด ติดไฟแดงครั้งแรกซักครู่ก็กลับถึงลานคนเมือง ลงทะเบียนปั่นจบ รับอาหารกลางวัน นั่งกินมันที่มุมลานแบบร้อนหน่อยๆเพราะสายแล้วและพักจนพอมีแรงก็ปั่นกลับบ้าน แบบตามพี่ๆกลุ่มข้างหน้ามาจนเขาพามาเข้าทางลัดไปออกเลียบทางรถไฟถึงสะพานพระรามแปด ได้รู้จักทางใหม่ๆที่ยังใช้ปั่นออกกำลังมาจนถึงปัจจุบัน

สนุกสนานกันตรงจุดกลับตัว

ขากลับทิ้งกันยาวๆ คนบางตากว่า


สรุปว่าเป็นงานที่จัดได้ดีมากสำหรับผู้ต้องการออกทริปสั้นๆระยะไม่เกิน 50 km. การจัดงาน บริหารเวลา สถานที่ อาหาร ของที่ระลึกอยู่ในระดับดีมาก น่าจะเนื่องจากผู้จัดมีประสบการณ์มาหลายครั้ง การกั้นรถทำได้ดีที่สุดของงานปั่นในเมือง(ไม่นับคาร์ฟรีเดย์ วันที่ส่วนตัวผมคงไม่ออกไปร่วมงานเพราะดูจะเดือดร้อนผู้ร่วมถนนที่ใช้พาหนะอย่างอื่นไปซักหน่อย) ที่สำคัญได้ทำบุญแบบไม่ต้องมีค่าสมัครเนี่ยหายากมากประทับใจ ถ้ายังคงโครงการดีๆไว้เป็นอีกงานที่จะแวะไปร่วมอีกครับ   

Get Start a Different Life / Review จักรยานเสือหมอบ Merida scultura 900 (2014)

แค่จักรยานคันหนึ่งที่พาผมเข้ามาโลกที่แตกต่าง

           จุดเริ่มต้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราวที่การออกกำลังกายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมในช่วงปีที่ผ่านมาเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่พาเจ้านี่กลับบ้าน หลังจากพยายามเข้าฟิตเนสที่คอนโดมาได้ซักเกือบเดือนในหน้าฝน แล้วพบว่าการปั่นจักรยานในฟิตเนสก็ไม่เลวเมื่อเที่ยบกับเครื่องอื่นที่มี (ปั่นนิ่งๆได้เหงื่อ เหนื่อยก็ผ่อน ดูวีดีโอหรือเล่นมือถือไปด้วยก็ได้) ประกอบกับกระแสจักรยานมาซักพักใหญ่แล้ว ระหว่างรอหมดหน้าฝนก็หาข้อมูลไปเรื่อย หลักๆก็เลือกง่ายๆว่าจะใช้งานแบบไหน บ่อยแค่ไหน งบประมาณเท่าไหร่ ด้วยความใหม่มากแต่อยากเร็วแล้วก็เบี้ยไม่มาก สรุปได้ว่าคงต้องเป็นเสือหมอบตัวเริ่มต้น

          ในช่วงเวลานั้นทุกสำนักเชียร์หมอบเริ่มต้น TREK 1.1 ต้นเริ่มต้นของยี่ห้อยอดนิยมในไทยด้วยความที่ค่าตัวถูกที่สุดในบรรดาเสือหมอบแบรนด์อินเตอร์ ด้วยราคาไม่ถึง 15,000 บาท ทำให้มันเป็นที่ต้องการของตลาดอย่างมากกก ชนิดของลงวันไหนก็หมดวันนั้นแหละ แค่คิวจองแบบยอมจ่ายตังค์ไว้ก่อนก็เกินจำนวนรถแต่ล่ะล๊อตที่มาแล้ว หลังจากลองพยายามหาซักพักก็เกรงว่าเอาเวลาตามหาไปส่องรุ่นอื่นๆดีกว่า (ซึ่งคิดถูกมากเพราะจนวันที่รุ่นปี 2015 ออกแล้วก็เป็นรุ่นที่ยังคงต้องตามหากันทั่วเมือง ไม่มีค้างโล๊ะสต๊อคใดๆทั้งสิ้น)

TREK 1.1 รุ่นดี พิมพ์นิยม ตามหากันให้ควัก ใครมีไว้คุณทุ่มเทมากครับ


          ร้านที่ติดต่อแนะนำว่าลองขยับขึ้นมานิด เป็น TREK 1.2 ที่จะได้ชุดขับเคลื่อนดีกว่า 1 ระดับตามราคาที่เพิ่มอีกพอสมควร หรือเป็น Merida ตัวรหัส 900 ที่ไม่ได้อยู่ในความสนใจเลยแต่แรก แต่พอไปเช็คสเปคปรากฎว่าดีกว่าที่คิดจนน่าแปลกใน ด้วยราคาที่แพงกว่า 1.1 แค่นิดหน่อย แต่ได้เฟรมทรง(ที่เขาว่ากันว่า)พุ่ง ตะเกียบคาร์บอนทั้งชุด เฟรมแบบซ่อนสายที่รุ่นสูงกว่านี้ก็ยังหาไม่ค่อยได้ง่ายๆ ตามคอนเซปแบรนด์ Merida ที่ให้ของคุ้มค่ากว่าแม้ว่าชื่อแบรนด์ในไทยจะไม่ได้ป๊อบมาก ถูกใจระดับนึงทีนี้ก็หาของ อนิจาจักรยานกระแสบูมจริง ร้านไหนก็ไม่มีไซต์ถามไปรอไปร่วม 3 สัปดาห์ จนของล๊อตใหม่มาก็รีบไปร้านด้วยความรวดเร็ว แวะไปสั่งประกอบและจ่ายเงินก่อนในเสาร์ และเอารถไปรับมาวันอาทิตย์ (คำนวณแล้วหากปั่นกลับจากถนนลาดพร้าวเอง เกรงจะโดนรถเมล์เอาไปรับประทาน และจะเลยไปออกอุปกรณ์อื่น เช่น หมวกกันน๊อค ที่ร้านแถวนนทบุรี) แค่อุปกรณ์เบื้องต้นสุดๆ เช่น หมวก ไมล์ ไฟหน้า-หลัง ขา+กระติก บันได ก็หมดไปอีกพอสมควร ใครจะออกรถจักรยานก็เผื่องบไว้นิด อย่าเพิ่งลงกับรถจนหมดครับ

ประจำการ ตุลาคม 2556

          ตัวรถสรุปสเปคคร่าวๆ เฟรม Scultura race lite alloy สีดำเงาคาดแดงขาว ซ่อนสายในตัว ตะเกียบฟูลคาร์บอน ชุดขับหลักเป็น Shimano Claris (8 speed) ได้แก่ มือเกียร์ ตีนผี สับจาน และดุมล้อหลัง (แค่นั้นแหละ :P) จานหน้าคอมแพค FSA 50-34T เฟือง Sunrace 12-28T เบรค Tekto  ส่วน แฮนคอ สเตม หลักอาน อาน เป็นของเมอริด้าเอง ล้อ Alexrim 450 มาพร้อมยาง Maxxis 700*23c จัดชุดมาพอใช้ได้สำหรับตัวเริ่มตัวไม่ควรบ่นไรมาก หึหึ

เสือหมอบเริ่มต้นยังไม่ซ่อนสายเกียร์ โยงกันดูยุ่งๆ / นับไซต์แบบตัวอักษร S/M นี่ไซต์ 52

          ความเห็นโดยรวม ณ วันนี้ ใช้งานได้กว่า 10 เดือนแล้วระยะเกิน 3,000 km. (เป็นแค่ Weekend cyclist) ไม่มีหมอบอื่นที่ได้ใช้จริงจังคงเทียบกับรุ่นนั้นรุ่นนี้ไม่ได้ ขอบอกตามความรู้สึกไล่ไปทีละเรื่อง

-               องศาเฟรม ท่านั่ง และความสบาย เนื่องจากตำแหน่งผู้ปั่นค่อนข้างก้มแบบ Race (องศาเดียวกับ Specialized ส่วนใหญ่ เนื่องจากมากจากโรงงานเดียวกัน) ตอบสนองดีเวลาเร่งความเร็ว กดมาพอสมควร ไม่ไหลมากอาจเป็นเพราะรถหนักไปหน่อย แต่ทำให้หวังความสบายมากไม่ได้ ใหม่ๆนี่เกินร้อยกิโล ปวดคอมาก แต่ซักพักก็ชินซึ่งน่าจะเป็นเรื่องธรรมดาของคนไม่เคยปั่นรถแบบนี้ เบาะติดรถได้ยินคนแซวว่าแข็งเกือบจะเป็นไม้กระดาน แต่ไม่แย่ขนาดนั้นจนกว่าคุณจะได้ปั่นเกินร้อยโล อาจต้องใช้วิธีเซฟๆยกก้นขึ้นเป็นระยะๆ

หลักอานของเมอริด้าเอง แข็งแรงแต่หนักมาก / มือเกียร์ Claris เข็มชี้บอกเกียร์ไม่เป๊ะมาก แต่ใช้ซักพักก็ชิน

-               การควบคุมดีปานกลาง ไม่เคยมีปัญหาใดๆในการขี่ทางราบ ยางที่ให้มาดูแทบไม่มีดอก แต่ปั่นมาทุกสภาพถนนยังไม่มีปัญหาจากยางโดยตรง ชุดขับแม้จะเป็นตัวล่างๆ แต่การเปลี่ยนเกียร์ราบลื่นใช้งานทั่วไปไม่มีปัญหา จูนบ้างถ้าไปขี่ทางกระเทือนๆมา แต่ก็หลายเดือนที ความแม่นยำระดับพอเอาไปงานแข่งใจเกินร้อยได้ไม่มีปัญหา แต่ลงเขาหนักๆยาวๆเบรกยังไม่ถึงกับเชื่อมั่นได้มากนัก เผื่อระยะนิดนึง

ชุดตีนผี ความแม่นยำดีกว่าที่คิดมาก / ชุดจานคอมแพคใช้งานเหลือๆถ้าไม่ใช่ขาแรง 

-               น้ำหนัก ค่อยข้างหนักมากสำหรับเสือหมอบ เกิน 10 กิโลแน่นอนถึงจะไม่เคยชั่งจริงจัง แต่เทียบกับรถอลูระดับ 30,000บาท+แบบรถเดิมๆ นี่ต่างกันจนรู้สึกได้ หลักๆนอกจากเฟรมก็น่าจะมาจากหลักอาน แนะนำว่าเทียบราคาที่จะอัพเกรดกับน้ำหนักที่ลดลงเลือกเปลี่ยนหลักอานได้ผลคุ้มแน่ๆ ส่วนล้อและดุมคุณภาพตามราคา ขอบต่ำมากจนเกือบไม่มี หวังหล่อนี่ไม่ได้เลย ก็ทำใจบอกตัวเองเอาว่าไม่มีใครเขาใช้ล้อติดรถคอมพรีทไบค์กันอยู่แล้ว ก็จะช่วยให้มีทัศนคติกับรถดีขึ้น

เบรคพอใช้งานได้ในเมือง / ตะเกียบคาร์บอนที่กลายเป็นมาตรฐานเสือหมอบแบรนด์ 

-               ทั่วๆไปเท่าที่นึกออก สับจานตั้งลำบากนิดหน่อย ถ้าใส่เกียร์เยื้องมากจะโซ่จะสีจนมีเสียง แต่ไม่มีปัญหาขึ้นขนาดมีผลกับการปั่น แค่รำคาญและเขินคนที่ปั่นใกล้ๆกันนิดหน่อย ส่วนเฟรมซ่อนสายเหมาะมากถ้าคุณใช้ชีวิตในเมืองที่ต้องแบกรถบ่อยๆอย่างยกขึ้นสะพานลอย แต่ถ้าไม่ใช่ ก็อาจไม่จำเป็นนัก (แต่ก็ช่วยให้รถดูเรียบร้อยดี เพราะสายเกียร์ก็ดูยุ่งพออยู่แล้ว 55)  การดูแลรักษาสะดวกตราบที่ไม่ต้องไปยุ่งกับสายทั้งหมายที่ซ่อนในเฟรม ซึ่งถึงขั้นนั้นก็เกิน service รถพื้นฐานไปแล้ว ดูแลโซ่ หล่อลื่นส่วนต่างๆตามสมควรก็ยังใช้งานได้ดี

          โดยส่วนตัวต้องบอกว่าพอใจกับมันมากกก ใช้งานได้คุ้มค่ากับราคาเป็นที่สุด ด้วยความที่ไม่ได้ถนอมรถมากอยากจอดวางนอนก็นอนได้ พิงไรก็พิงไปไม่ค่อยสน (นิสัยแย่ส่วนตัว) ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะเป็นรอยไหมเพราะเป็นเพิ่มเรื่อยๆอยู่แล้ว แต่คุณจะได้ความสบายใจสำหรับรถจักรยานที่ซื้อมาใช้งานจริงๆ ไม่ว่าจะปั่นสั้นไม่กี่กิโลยันปั่นยาว Audax 300 BMP คันนี้ไปได้หมด (ไกลกว่านี้คงหารถที่ติดตระแกรงได้และท่านั่งสบายมากขึ้นคงจะดีกว่า เพราะใช้เวลาเกิน 24 ชม.แล้ว) และถึงวันนี้ก็ยังรถเดิมๆทั้งคัน ไม่มีอัพเกรดใดๆ นอกจากติดบันไดคลีท แต่รถตอนซื้อไม่ให้บันไดมาด้วยนะ เพราะงั้นไม่นับน่ะถูกแล้ว เอาเป็นว่าสำหรับรถเริ่มต้นที่คุณภาพไม่หนีกัน เลือกเฟรมสีที่ชอบ องศาและไซต์ที่ใช่ แล้วมีความสุขกับคันที่คุณเลือกได้เลย ส่วนผมจักรยานคันเริ่มต้นคันนี้เป็นจุดเริ่มของ Activity ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผมครับ